วันอาทิตย์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2558

↯ผู้ชายจังไรขอแต้บไข่เพื่อเธอ (2) : chapter 6 อย่าลืมฉัน



คำเตือน

เนื่องจากฟิคเรื่อง #ผชจรขตขพธ ได้ทำการหลุดวงโคจรฟิคไปประมาณสี่ล้านแปดแสนเก้าหมื่นสามสิบสองปีถ้วน ดังนั้นจึงขอวอนพ่อแม่พี่น้องและประชาชนทุกท่านโปรดอย่าตื่นตกใจ นี่เป็นฟิคเรื่องผู้ชายจังไรขอแต้บไข่เพื่อเธอจริง จากผู้เขียนจริง ไม่อิงสตั๊นแมน หรือคอมพิวเตอร์กราฟฟิคใดๆ (แม้เนื้อเรื่องที่ปรากฏในเรื่องจะปลอมทั้งหมด) มิใช่ระบบตอบกลับอัตโนมัติ หรือเกิดบัคในคอมแต่อย่างใด 

จึงเรียนมาเพื่อทราบ (นั่นซิ ถ้าเรียนแล้วยังไม่ทราบมึงลาออกไปทำอย่างอื่นเถอะ)

และหากเขียดผู้มีแกกท่านใด ได้ทำการดีลีทเนื้อเรื่องทั้งหมดตั้งแต่ภาคแรกทิ้งจากสมองไปแล้ว 
(หรือเรียกสั้นๆว่า ลืม หรือเรียกยาวๆว่า ลืมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม (เพื่อ?)) 
หากท่านไม่มีอะไรจะทำแล้ว จึงขอเรียนมาเพื่อทราบและโปรดให้กลับไปอ่านใหม่ตั้งแต่ต้น แต่หากท่านมีภาระหน้าที่ที่ต้องกระทำเพื่อชาติ โปรดอย่าละทิ้งหน้าที่ของท่าน และรีบรุดไปทำให้เสร็จสิ้นโดยไว

และเมื่อเสร็จสิ้นภาระกิจอันสำคัญแล้ว ขอให้ทิ้งความเครียดที่สั่งสมในหัวกลมๆน่ารักของท่าน เอาแช่ตู้เย็นไว้ก่อน แล้วมาคลายเครียดกับฟิคน้อยๆ หามิได้ซึ่งสาระเรื่องนี้ 
เราจะขอแบกรับความเครียดเหล่านั้นของท่านไว้เอง

และสุดท้ายนี้ หากท่านอ่านแล้วรู้สึกเสียเวลา ไม่ได้ประโยชน์ 
จนถึงกับก่นด่าในใจว่า 'เอาสิบห้านาทีเมื่อกี้กูคืนมา' 
ทางผู้เขียนก็ขอกราบประทานอภัยมา ณ ที่นี้ด้วย



ลงชื่อ                  









                                                                                                                            ด้วยรักและเคารพ  
(พล่ามยาวมาก ยอมให้อ่านแล้วก็ได้)
____________________________________________

ตะเบงชเวงตี้เซนจูรี่ฟ็อกซ์ ภูมิใจเสนอ
ผู้ชายจังไร ขอแต้บไข่เพื่อเธอ เออ เออ เออ เออ!!!
 (เสียงแอคโค่สิบแปดตลบ)
(ฟิคจังไรแห่งประวัติศาสตร์โลกที่ทุกท่านลอยคอมานานกว่าสิบสองล้านปี (เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่านี่ฟิคหรือฟอซซิล)

chapter 6 
อย่าลืมฉัน


“ฉันเยอะๆนะพะยะค่ะ ..โอ้ย!

กูพูดยังไม่ทันขาดคำ จู่ๆฝ่ามืออรหันต์ก็ฟาดเบ๊ะลงมาที่กลางกะบาลที่เกือบจะโล้นแล้วของผมดังเพี้ยะลั่นจนแสบไปทั้งหนังหัว ผมหันไปค้อนใส่อิแบคหนึ่งทีด้วยความคับข้องใจ พร้อมกับเบะปากรัวๆเป็นจังหวะสามช่า อินี่นอกจากการตบหัวผมแล้ว มันคงทำอะไรอย่างอื่นอีกไม่เป็นเลยสินะ

“อะไรโว้ย!

“มึงพะยะค่ะทำไม”

“เออว่ะ กูเป็นผู้ชาย ต้องพะยะครับ”

ผมหันไปก้มหัวให้พระเฉิน เพื่อนสนิทในเดอะแก๊งค์ของเราที่ตอนนี้หนีเกณฑ์ทหารมาบวชเป็นพระด้วยความนอบน้อมพร้อมกับดันถาดภัตตาหารที่นำมาถวายเข้าไปใกล้จนขึ้นไปเกยหน้าแข้งท่าน ถ้วยแกงบวชฟักทองจึงได้ฤกษ์พลิกตะแคงจนหกกระเฉาะออกมานอกถาด จริงๆมัน เอ้ย ท่านไม่ได้หนีเกณฑ์ทหารไรหรอก แต่ด้วยความฝักใฝ่ในทางธรรมท่านเลยมาบวชแก้เคล็ดเฉยๆ แต่นี่ก็งงเหมือนกัน จะแก้เคล็ดไมไม่เอาเคาท์เตอร์เพนนวดวะ ทีเดียวหายเคล็ดจะได้จบๆ ไม่เห็นต้องบวชให้เสียเวลาเลย หัวโล้นอีกต่างหาก บร้า

“พะยะครับที่หน้า ครับเฉยๆพอ เป็นพระ ไม่ใช่ลอร์ด”

“หลอดนี่ใช่พลาสติกยาวๆเอาไว้ดูดน้ำปะวะ”

ผมปล่อยมุขควายหนึ่งมุข ก่อนจะย่นคอลงรอรับแรงตบจากฝ่ามือพิฆาตของแฟน อิแบคง้างมือขึ้นชาร์จ แต่กลับไม่ยอมทุบลงมา ม่านกลมเพียงถลึงใส่ผมด้วยสายตาอาฆาตเล็กน้อย ก่อนทำปากขมุบขมิบเหมือนกำลังด่าพ่อกูอยู่

“เดี๋ยวปั้ด!

“ปั้ดไร ก็คนมันไม่รู้เนาะ แค่นี้มึงจำเป็นต้องตบกูมั้ยล่ะ แหม่เดี๋ยวนี้ชอบใช้กำลัง เห็นกูยอมละเอาใหญ่ เดี๋ยวคืนนี้มึงเจอกูใช้กำลังบนเตียงแน่ พ่อจะเอาให้ครางหงิงเป็นลูกหมาเลย”

“อ่าวๆคิดว่ากลัว มวยมั้ยเพื่อน กลางศาลาวัดนี่แหละ!!

“ใคร ใครเพื่อนมึง กูเพื่อนเล่นมึงไง๊ นี่ผัว เดี๋ยวปั้ด!

ผมเริ่มขึ้นเสียงตามอิเตี้ย เอานิ้วชี้หน้าตัวเองพร้อมกับเหลือกตาอย่างหาเรื่อง ใครว่าผมกลัวเมีย จากนี้ไป กูจะไม่กลัวมันอีกแล้วจะไฝว้ก็มาเลย กูจะทวงศักดิ์ศรีของลูกผู้ชายคืนวันนี้!

“ปั้ดไร เก่งนักมึงลุกมาเลยไอยอล อย่าคิดว่ากูขาสั้นแล้วจะตบมึงไม่ถึงนะ กูมีเก้าอี้”

อิเตี้ยลุกขึ้นยืนแล้วถกแขนเสื้ออย่างหาเรื่อง พร้อมกับระดับเสียงที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆจนแทบทะลุหลังคาวัด ฝ่าเท้าเปล่าเปลือยเหยียบบนเก้าอี้ซักผ้าตัวเล็กๆข้างๆกระโถนอย่างแรงจนสะเทือนไปทั้งศาลา ในขณะที่ผมค่อยๆก้มหัวลงพร้อมกับยกมือไหว้ ตัวหดเหลือสองนิ้ว ศักดิ์ศงศักดิ์ศรีไรมันแดกไม่ได้ ไว้ไฝว้วันหลังละกัน ประมาณชาติหน้า เพิ่งรู้ว่าชีวิตตัวเองสำคัญแค่ไหนก็ตอนมันยืนขึ้นนิแหล๊ะ

“เอ่าใจเย็นๆ โยมเพื่อนทั้งสองอย่าตีกันเลย นี่ศาลาวัด ไม่ใช่เวทีมวยอ้อมน้อยนะโยมนะ”

เป็นพระเฉินที่ยกมือขึ้นมาทำปางห้ามญาติยุติศึกแห่งศักดิ์ศรีนี้เสียก่อน ก่อนที่ผู้ชายหน้าตาดีที่สุดในประวัติศาสตร์ฟิคอย่างผมจะเสียชีวิตลงด้วยโรคเกรงใจเมีย ผมหันไปชูนิ้วโป้งให้พระเพื่อนพร้อมกับยิ้มอ่อนด้วยความรู้สึกขอบคุณที่ช่วยชีวิต นี่รู้สึกว่าตัวเองยังไม่ทันได้ทำอะไรผิดเลยนะเนี่ย

“อาตมาพูดถูก!!!

“อาตมาไหน อาตมาก็คืออาตมา โยมก็คือโยมนะ”

“แล้วอาตมาจะงงอะไรวะ เดี๋ยวอาตโยมอาตมา กูเริ่มงงละเนี่ย”

“อย่าพูดกูมึงกับพระเลยนะโยมนะ .. โยมเพื่อน อาตมาว่าโยมเพื่อนพาโยมผัวกลับที่พำนักไปก่อนเถอะ ก่อนที่จะบาปหนาไปมากกว่านี้ อาตมาสังเวชเหลือเกิน”

“เอ้ยๆๆเดี๋ยวๆๆๆๆ ยังคุยธุระไม่เสร็จเลย”

 อาตมาเฉินทำปางห้ามญาติ ก่อนอิแบคจะหันไปพยักพเยิดกับท่านแล้วเข้ามาหิ้วปีกผมแล้วออกแรงลากออกไปจากศาลา ผมจิกขาไว้กับพื้นไม้ปาร์เก้แน่น ทำท่าทีไม่ยอมจะลุกไปตามแรงฉุดของแฟน แต่ก็สู้แรงมันไม่ได้เลยแม้แต่นิด จะว่าไปแต่ก่อนก็คงพอจะสู้แรงควายๆของมันได้ แต่ตั้งแต่กลับมาจากแคนาดา อินี่ก็เหมือนเป็นวัวตัวเมียที่โดนเกษตรกรขุนมาอย่างหนักหน่วงเพื่อป้อนสู่โรงงานชำแหละเนื้อโพนยางคำ แขนมันใหญ่กว่ากูแล้ว แถมสะโพกยังเหมือนห้อยกะละมังไว้สองใบ ยิ่งต้นขาและปลีน่องไม่ต้องพูดถึง เผลอๆอาจจะใหญ่กว่าเอวกูอีก แล้วแบบนี้ผู้ชายตัวเล็กๆอย่างผมจะไปสู้อะไรกะมันได้ นี่สินะ ที่มาของคำด่าว่า อิช้างลาก

“ยังทำธุระไม่เสร็จจจจจจจจจจจจจ”

ผมโอดครวญลั่นศาลา กระทั่งอิเตี้ยมันลากผมมาถึงบันไดแล้ว ร่างเล็กๆน่ารักของผมกำลังโดนฉุดกระชากถูลู่ถูกังไปตามขั้นบันได เสี้ยนตำครั้งแล้วครั้งเล่าจนเจ็บแสบไปหมด ไม่รู้กูเล่นหนังเรื่องจำเลยรักอยู่รึเปล่า ผมยื้อร่างตัวเองออกจากมือปลาหมึกของมัน ก่อนจะกอดเสาศาลาไว้แน่น

“โอ้ย! เร็วๆ ธุระอะไรของมึง”

“ยังไม่ได้ขอหวยเลยงะ”

………………………………..

แอร้!!!!!!!!!!!!!


เดาสิครับว่าอะไรเกิดขึ้นหลังจากนั้น เสียงหนังหัวของผมลั่นเพี้ยะดังไปทั่วทั้งศาลา จากที่กอดเสากลับกลายเป็นต้องกอดขาแฟนแล้วร้องขอชีวิตแทน น้ำตาผมไหลอาบแก้มทั้งสองข้าง ร้องไห้ฟูมฟายปานจะขาดใจอยู่ในรถหลังจากที่อิเตี้ยมันจับผมยัดเข้ามานั่งในห้องโดยสารฝั่งคนขับเรียบร้อยแล้ว และมันกำลังจะเดินอ้อมไปขึ้นอีกทาง ผมกลืนก้อนสะอื้นลูกสุดท้ายหายเข้าไปในลำคอ ก่อนจะตัดสินใจทำสิ่งที่พ่อบ้านใจกล้าน้อยคนนักจะกล้าทำ

“กึก!

เสียงประตูรถที่เปิดไม่ออกดังอยู่ข้างนอก ผมยิ้มเผล่ นิ้วโป้งตีนยังคาไว้อยู่ที่ปุ่มล็อครถฝั่งข้างคนขับ ท่าผมตอนนี้เท่ห์มาก เหมือนสไปเดอร์แมนที่กำลังจะตกตึกสิบแปดชั้นไม่มีผิดเพี้ยน อิช้างลาก(มึงแน่ใจว่ามึงจะใช้คำนี้เรียกแทนแฟนตัวเอง)ยืนถลึงตาใส่ผมอยู่ข้างกระจกด้วยความเคียดแค้นรุนแรง ฝ่ามืออรหันต์ทุบปั้กลงบนหลังคารถจนเบาะสะเทือน ผมเหนี่ยวพวงมาลัยไว้แน่น กะว่าถ้ามันยกรถทุ่ม ผมจะได้มีที่ยึดเหนี่ยวไว้เซฟตัวเอง

“มึงเปิดเดี๋ยวนี้ไอ้ยอล!

“ไม่! เดี๋ยวมึงตีเค้า!

ผมเบะปากอย่างน่ารัก แลบลิ้นใส่คนตัวเตี้ยที่ยืนตกมันอยู่นอกคันรถเล็กน้อยพอน่าหมั่นเขี้ยว แต่ระดับอิแบคคงจะไม่ถึงกับหมั่นเขี้ยวผมหรอก อย่างมากก็ซ้อมกูแทนกระสอบทราย หรือไม่ก็ถลกหนังหัวผมไปทำพรมเช็ดตีนก็แค่นั้นเอง

“มึงไม่เปิดใช่ไหม”

ผมไม่ตอบ เพียงแค่ยิ้มแป้นหน้าบานแล้วยื่นจมูกไปชนกระจกรถอีกฝั่งให้อิเตี้ยมันโมโหมากยิ่งขึ้น เห็นยืนหน้าดำคร่ำเครียดคงไม่ใช่เพราะตากแดด แต่อาจจะเป็นเพราะว่าเส้นเลือดดำแล่นปริ้ดจากฝ่าตีนขึ้นมาถึงใบหน้าอันงดงามของมันแล้ว ไอ้แบคพยักหน้าใส่ผมสองทีถ้วน พะงึมพะงำในลำคอที่ผมพอจะอ่านปากมันออกว่า ได้ .. ได้เลย .. ได้ ไม่รู้ว่ามันรู้ได้ไงว่าผมอยากจะ ได้ กะมันมาตั้งนานแล้ว รู้งี้กูยั่วโมโหมันแต่แรกก็ดีอะ จะได้ไม่ต้องรอคนเขียนดองฟิคนานหลายปีขนาดนี้ (ไม่ได้แซะ พูดจริงๆ) อีกนิดนึงลูกกูจะเรียนจบปริญญาโทแล้ว (เอ้ะแต่ลืมไป กูไม่มีลูก) (มึงจะเลิกทะเลาะกับตัวเองได้ยังอะ ไปเขียนกำแพงคุยคนเดียวไหม) (เลิกก็ได้ ยอมแล้ว)

และทันใดนั้นเอง อิเตี้ยมันก็ถกแขนเสื้อขึ้น(สงสัยอากาศร้อน) และทำการเขยิบร่างตัวเองถัดไปทางซ้ายอีกหนึ่งก้าวครึ่ง ฝ่ามือบอบบาง(แต่ตบหัวกูสั่นมาครั้งแล้วครั้งเล่า)ยื่นออกไปจับบานประตูห้องโดยสารด้านหลัง และทำการกระชากมันออกอย่างแรง

ตัดภาพเป็นแบบสโลว์โมชั่นเหมือนในละครเวทีทวิภพเดอะมิวซิคคัล ไขมันต้นแขนของอิแบคกำลังกระเพื่อมไปตามแรงกระชากประตูด้วยความเร็ว148รอบต่อหนึ่งวินาที ในขณะที่ร่างควายๆของผมก็กำลังกระวีกระวาดเข้าไปกดล็อคประตูคนขับด้านหลังอย่างเอาเป็นเอาตายโดยที่สมองกลวงๆของผมไม่สามารถนึกขึ้นได้เลยว่ากูมีปุ่มล็อคทุกอย่างอยู่ที่ข้างประตูฝั่งคนขับ ผมหลับตาปี๋ ส่งปลายนิ้วชี้ของตัวเองยื่นออกไปอย่างมีความหวัง คือกะว่าถ้าล็อคไม่ทัน กูเสียชีวิตแน่นอน

ผ่าง!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!


ยัง.. ผมยังไม่ทันทำพินัยกรรมให้หม่ามี๊กับเจี๊ยบเลยนะ

“ไหนเมื่อกี้มึงทำท่ายังไงนะ”

“เมื่อกี้..ทำท่าแบบนี้ครับ”

ผมตอบเสียงสั่น ค่อยๆปรับเบาะที่นั่งของตัวเองให้ราบลง จากนั้นบรรจงนั่งท่าเทพบุตรเหมือนที่คุณครูโรงเรียนอนุบาลจระเข้น้อยสอน สิบนิ้วพนมขึ้นจรดใบหน้า จากนั้นโน้มตัวลงกราบแบบเบญจางคประดิษฐ์ แบมือทั้งสองลงบนตักแฟนงามๆ ในใจได้แต่ภาวนาขอให้หนังหัวตัวเองแคล้วคลาดปลอดภัย

“หนูผิดไปแล้วครับ ยกโทษให้หนูด้วย”

“ครั้งนี้มึงรอดตัวไป เลิกก้มได้แล้ว กูแสบตา”

ผมหลับตาปี๋ นึกว่าฝ่ามือนุ่มนิ่มเหมือนกล้ามตูดนั้นจะฟาดลงมาที่กลางหัวเหมือนเคย แต่กลับรู้สึกได้ถึงสัมผัสละมุนอันแผ่วเบาที่บรรจงวางลงกลางหนังหัวแล้วดันออกเบาๆ พร้อมกับใบหน้าจิ้มลิ้มที่หันหนีแสงอาทิตย์จำลองจากกลางหัวของผม จุดนี้เพิ่งรู้ตัวว่าหัวล้านแล้วมีประโยชน์ วันหลังกูไม่ใช้ละซันซิล 


ผมถือวิสาสะจุ๊บตัก(ที่เต็มไปด้วยไขมัน)ของอิแบคด้วยความรักใคร่ไปหนึ่งที ก่อนจะค่อยๆเคลื่อนย้ายร่างตัวเองกลับมาสู่ห้องโดยสารฝั่งคนขับ ทำหน้าที่โชเฟอร์ที่ดีของแฟน พอกูเอื้อมเปิดวิทยุเท่านั้นแหละ นิ้วตีนกลมๆจากคนที่นั่งเบาะหลังก็เอื้อมมากดปิดในทันใด ผมเบิกตากว้าง ไม่ได้ไม่พอใจที่มันปิดวิทยุผม แต่ผมทึ่งที่ขาสั้นๆของมันสามารถยื่นมาถึงคอนโซลหน้ารถได้ต่างหาก

“อะ .. อะเมซิ่ง”

ผมค่อยๆเหลือกตาแล้วหันไปหามันช้าๆแบบสโลวโมชั่น ฝ่ามือยังกำพวงมาลัยแน่น อิแบคทำหน้าปริ่มเหมือนคนอิ่มบุฟเฟ่ต์แปดมื้อใส่ผม ก่อนจะเอ่ยคำประกาศิตเบาๆ แต่ฟังแล้วขนลุกเกรียว

“เตะหน้ามึงก็ถึงนะ จะไปได้ยังอะ หิวข้าว”

“เคครับ ทันทีครับ”

และก่อนที่ผมจะพยักหน้าอย่างเจี๋ยมเจี้ยม หันไปสตาร์ทรถแล้วรีบขับพาแฟนออกไปจากวัดในทันใด แฟนใครวะ น่ารักจัง 





ตื่อดึ้ง

ตื่อดึ้ง

ตื่อดึ้งๆๆๆๆๆ

=_=


ผมที่กำลังยืนใส่เสื้อผ้าอยู่ที่หลืบหนึ่งในห้องนอนค่อยๆหันเรด้าหูไปยังต้นเสียงน่ารำคาญที่ดังมาจากบนเตียง กูได้ยินมาตั้งแต่ในห้องน้ำละ ผมชะโงกหน้าออกไปเล็กน้อยด้วยความที่มองไม่เห็นเพราะหูตัวเองบัง ปรากฏร่างอ้วนของอิแบคกำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนขดเป็นก้อนอยู่อย่างนิ่งสงัดและเต็มเปี่ยมไปด้วยสมาธิ ใบหน้าจิ้มลิ้มสะท้อนแสงสว่างจากโทรศัพท์จนขาวผ่องเป็นยองใยมองละม้ายคล้ายผีบ้านผีเรือน ผมจึงทำการรบกวนสมาธิมันด้วยการวิ่งแล้วพุ่งหลาวชายลงสู่เตียงอันนุ่มนิ่มนั้นโดยพลัน

“เอาล่ะครับออกตัวไปแล้วสำหรับนักกีฬากระโดดสูงปาร์คชานยอล อายุยี่สิบสองปี รุ่นน้ำหนักเจ็ดสิบสองกิโลกรัม เลี้ยวขวาตีโค้งมาอย่างสวยงาม .. เค้ากระโดดไปแล้วครับ!.. ซึ่ม!!

กระโดดใส่ไม่พอ กูพากษ์ด้วย การกวนแฟนไม่ให้แฟนมีความสุขในชีวิตนั่นเป็นงานอดิเรกที่สำคัญอย่างหนึ่งของผม ผมกระโดดตัวทิ้งหลังลงบนเตียงสปริงจนร่างอ้วนๆเด้งผ้าห่มกระจาย โทรศัพท์ในมือมันหลุดกระเด็นลงไปที่พื้นพรม แต่ไม่รู้ว่าตีนทำไมต้องเด้งมาฟาดไหล่กูแบบพอดิบพอดีด้วย สงสัยบังเอิญ

“ไอเหี้ย เล่นอะไรไม่รู้เรื่อง ตกใจหมด สัด เก็บเลยนะ”

“โทษ แบบว่าอยากให้อารมณ์ดี”

ผมอาศัยช่วงตัวยาวๆ เอื้อมหยิบโทรศัพท์ของอิเตี้ยจากที่พื้นโดยไม่ต้องลุกออกไปจากเตียง ระหว่างส่งคืนก็แอบเหล่จอมันไปนิดหน่อย บนหน้าจอเป็นหน้าแชทของใครคนหนึ่งค้างเอาไว้อยู่ ทันทีที่มือขาวคว้ามันคืนไปอย่างหวงแหนหนักหนา ต่อมเสือกของผมก็ผุดขึ้นจากรูขุมขนทั่วทุกสารทิศในร่างกาย

“เฮ้อ มีแฟน แฟนก็เล่นแต่โทรศัพท์”

ตัดพ้อดังๆให้ห้องข้างๆได้ยินแล้วลุกมาเคาะด่าพ่อกลางดึก แต่สิ่งที่ได้รับมีเพียงความเงียบและลมตดอันแผ่วเบา อิเตี้ยตดหมกไว้ในผ้าห่ม กะรมแก๊สผมให้ตายด้วยการสูดหายใจเข้าปอดเพียงครั้งเดียว ผมพลิกตัวนอนคว่ำ เอาหน้าไปเกยพุงมันด้วยความเซ็ง ช่วงนี้ยิ่งไม่ค่อยได้คุยกันดีๆอยู่ด้วย ไม่รู้ผมทำอะไรให้มันไม่พอใจนักหนา

 “แฟนไม่เห็นเล่นกะกูบ้างเลย”

ตื่อดึ้ง

“กูน่าสนใจกว่าโทรศัพท์มึงอีก”

ตื่อดึ้ง

“ใช้ซักผ้าก็ได้ ใช้ไปซื้อกับข้าวก็ยังได้”

ตื่อดึ้ง

“สรุปมึงจะตอบกูด้วยเสียงแจ้งเตือนแชทมึงใช่แมะ”

ผมถามเสียงแข็ง เงยหน้าขึ้นมองเจ้าของพุงที่หนุนอยู่ด้วยตาเขียวปั้ด อิแบคไม่ตอบคำ เพียงแค่วางโทรศัพท์เครื่องเดิมไว้บนหน้าผากของผม แล้วก้มลงมา.. เล่นต่อ (ไอเหี้ย)

ตื่อดึ้ง

“เนี่ย เป็นที่วางของยังได้เลย ไม่ต้องเสียตังซื้อแพ็คเกจซักบาท กูแอพพลิเคชั่นเยอะกว่าโทรศัพท์มึงอีก”

ผมตัดพ้อ จุดนี้กูเริ่มจะน้อยใจเล็กๆแล้ว ถึงแม้หลายครั้งจะหน้าด้านก็เหอะ แต่จริงๆจิตใจผมบอบบางกว่ากระดาษทิชชู่ที่เปียกน้ำแล้วซะอีก จะมองหน้ามันก็ไม่เห็นเพราะโทรศัพท์บังตา เห็นเป็นมืดๆติดอยู่บนหน้าจนตาจะเหล่ กระทั่งโทรศัพท์เครื่องร้อนถูกหยิบออกไป เปลี่ยนเป็นริมฝีปากนุ่มนิ่มที่ร้อนแรงกว่ากดนาบลงมาบนริมฝีปากของผมแทน แค่จุ๊บเบาๆ แต่แค่นั้นผมก็รู้สึกว่ากูชนะอิโทรศัพท์เครื่องนั้นแล้ว

“ไหน มีแอพลิเคชั่นอะไรให้กูเล่นบ้าง”

ใบหน้าจิ้มลิ้มน่ารักยังไม่ละออกไปไหน ผมเลยถือวิสาสะยืดตัวจุ๊บมันตอบกลับไปอีกหนึ่งที ฝ่ามือนุ่มนิ่มทั้งสองข้างกำลังเล่นสนุกอยู่กับเส้นผม(ที่เหลือน้อยแล้ว)ของผม ผมอมยิ้มจนหน้าบานเป็นจานข้าวหมา ดีใจที่แฟนสนใจเราในที่สุด ไม่มีอะไรจะชนะไปกว่านี้แล้ว โห่ ไม่อยากจะคุย เดี๋ยวจะหาว่าพี่โม้

“ก็มีแอพ มิชชั่นนารี มังกรกินหมี่ ชะนีกินกล้วย ลิงอุ้มแตง 69 คะ ..

“ไอ่สั้ด เพื่อนเล่นมั้ย”

ฝ่ามือขาวตีเบาๆลงที่แก้ม แต่เอาจริงๆผมรู้ว่ามันอยากก้านคอผมให้หลับในครั้งเดียวมากกว่า ผมหัวเราะรื่น จัดแจงท่านอนเสียใหม่โดยการให้มันนอนตะแคง แล้วผมก็นอนช้อนกอดมันไว้ด้านหลัง ริมฝีปากของผมกระซิบชิดใบหูมันได้พอดิบพอดี

“ล้อเล่นน่า ยังไม่ทำหรอก ไม่อยากให้ทำก็ไม่ทำ”

รู้สึกไอร้อนมันจะระเหยขึ้นจากแก้มใสๆที่กำลังแดงเปล่งของคนในอ้อมกอด ไม่รู้ร้อนเพราะลมหายใจของตัวเอง หรือไขมันของอิแบคละลายออกมากันแน่ ผมเงียบไปสักพัก อิอ้วนมันคงจะอาย แต่ผมขอสาบานกับตัวเองเลยว่าถ้ามันเลิกอายเมื่อไหร่ กูจัดยันฟ้าสางแน่นอน เอาให้แม่งหายอ้วน ไอห่า แค่นี้กูก็แทบไม่มีที่จะนอนแล้ว มันคนเดียวก็เต็มเตียง แม่เจ้า

“อยากเล่นก็เล่นเถอะ กูจะนอนแล้ว ง่วงจังเลย ฝันดีนะครับ”

เอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มชวนหลงใหล(ที่ไม่ใช่แบบโหวกเหวกเหมือนสวนสัตว์แตกแบบทุกที)แบบที่ไอ้ไคสอน กดจูบที่หลังใบหูนุ่มนิ่มนั้นเบาๆอีกที ก่อนจะเอ่ยราตรีสวัสดิ์เหมือนที่พระเอกนิยายทั่วไปเขาทำกัน ดูอบอุ่นและใจดีอะดิ  โถ่ โหมดนี้กูก็เล่นเป็น ผมให้อิสระมันเสมอแหละ แต่อิสระนั้นมันต้องมีกูอยู่ด้วย!!!! (เอ้าแล้วมันเรียกอิสระยังไงวะ)

ไม่งั้นกูจะจับมันนอนท่านี้ทำไม จะนอนแล้ว ง่วงจังเลยเหี้ยอะไร ตากูแข็งเป็นฟอสซิลสิบสี่ศตวรรษ นี่ไม่กล้ากระพริบตาแม้แต่ครั้งเดียวเพราะกลัวจะพลาดช็อตสำคัญ ลองมึงเอาโทรศัพท์มาเล่นอีกทีซิ กูเห็นหม๊ด แอบดูเว็บโป๊รึเปล่า แอบสั่งขนมญี่ปุ่นมาตุนใส่ตู้เย็นอีกไหม แชทกับใคร ว่าอะไร กูรู้หม๊ด แฮ่ๆๆๆๆๆ คิดจะเล่นกับพี่ เร็วไปสิบนาทีไอ่น้อง!



D : dd แบกยอนใช่ป่าว

นอนอ้วนอยู่บนเตียงอยู่ดีๆ แจ้งเตือนแชทของใครคนหนึ่งก็เด้งขึ้นบนหน้าจอโทรศัพท์ แบคฮยอนหยิบมันขึ้นมาเปิดอ่านพร้อมกับขมวดคิ้วเล็กๆด้วยความสงสัย เขาไม่รู้จะสงสัยเรื่องอะไรก่อนดี ระหว่างอินี่เป็นใคร รู้จักเขาได้ยังไง และภาษาที่มึงใช้คือหลุดมาจากสมัยไหน hi5 รึเปล่า

BAEKHYUN NAJA : เราแบคฮยอนเองๆ นั่นใครอะ

นิ้วเรียวพิมพ์ตอบกลับไป ก่อนจะกระเถิบร่างเหนียงขึ้นพาดหมอนใบโตที่วางอยู่ข้างหลังให้พอหายใจออก ช่วงนี้ไม่ค่อยได้แชทกับใครเท่าไหร่ ชื่อแอคเคาท์ก็เลยยังเป็นชื่อเดิมจนถึงทุกวันนี้ จะว่าบ้านนอกก็บ้านนอก แต่เขาไม่รู้จะเปลี่ยนเป็นชื่ออะไรให้มันเสี่ยวน้อยลงกว่านี้แล้ว

D : เลาคยองสุอ่า คณะเดวกับณาย ทิ๊มาศายวันณั้ลละนาญก้วิ่งเปงเพิ่ลเลา

ไอ่เหี้ย ยิ่งพิมพ์ยิ่งงง ตอนนี้เขาไม่รู้จะงงอะไรก่อนแล้ว คณะเดียวกัน ก็แปลว่าอยู่มหาลัยเดียวกันดิ ละสะกดคำงี้ใครให้มึงสอบผ่านเข้ามาได้วะเนี่ย ภาษาเหี้ยอะไรของมึง จะให้กูเก้วช่วยแปลก็คงจะไม่ได้ จุดนี้คงต้องเพิ่งเซนส์ตัวเองล้วนๆ แบคฮยอนเม้มปากแน่น พิมพ์ๆลบๆอยู่นานมากกว่าจะกดส่ง

BAEKHYUN NAJA : เราจำไม่ได้อะ

D : มั่ยเปงรัย เลามั่ยชั่ยคลหน้าจดจำณักหร่อก

คนตัวเล็กทำหน้าปริ่ม ยิ่งคุยศัพท์ยิ่งยากขึ้นเรื่อยๆ กูว่าชาวบ้านเค้าจะจำมึงไม่ได้เพราะมึงคุยไม่รู้เรื่องนี่แหละ ละเสือกดราม่าใส่กูอีก นี่เพิ่งจะคุยกันได้แค่สามบรรทัด หรือบางทีเขาควรหนีไปสวดมนต์แล้วปิดไฟนอนให้มันรู้แล้วรู้รอด

BAEKHYUN NAJA : แอดเรามาได้ไงอะ

D : มีแปะยุนัยกรุ๊ฟบอดคณะอะ เลาแอดดั้ยชั่ยป่าวอ่า

BAEKHYUN NAJA : อ่า ได้ครับ แล้วทักเรามามีไรเปล่าอะ

D : อ่อ ป่าว เลาเหงนายณิศัยดี เลาเรยหยักสนิดดั้วอะ ตั้งแต่เค่ามาเลาญังมั่ยเมเพิ่ลเรย

จากนั้นก็ส่งสติกเกอร์มารัวๆเหมือนบ้านมึงทำธุรกิจนี้ส่งออกนอกประเทศ แบคฮยอนถอนหายใจเล็กๆ เขาพยายามจะนึกให้ออกว่าไอ้หมอนี่เป็นใคร แต่ไขมันคงจะเบียดพื้นที่ในหัวหมด จำไม่ได้แฮะ

BAEKHYUN NAJA : นายพิมพ์ภาษาปกติได้ไหมอะ เราอ่านลำบากมาก ตาจะหลุด

D : อ่อได้ แบบนี้ดีขึ้นไหม

BAEKHYUN NAJA : เออ ดีขึ้นเยอะเลย (มึงพิมพ์แบบนี้มาตั้งแต่แรกก็จบแล้ว =_=)

D : แหะๆ โทษที เราติดเล่นฮิห้ากับเพื่อนตอนเรียนไฮสคูลอะ

BAEKHYUN NAJA : คยองสุ คือคยองซูใช่ไหม ชื่อคุ้นๆแฮะ แต่เรานึกหน้านายไม่ออกอะ

รู้สึกรำคาญอิเสียงโหวกเหวกร้องเพลงเหมือนควายออกลูกที่ดังมาจากในห้องน้ำเหลือเกิน แต่ตอนนี้สิ่งที่แบคฮยอนสนใจมากกว่าคือคนที่อยู่ในแชทต่างหาก ไม่มีอะไรบ่งบอกได้เลยว่าเพื่อนใหม่ของเขาคนนี้เป็นใครนอกจากชื่อที่เจ้าตัวเป็นคนบอกมา ชื่อแอคเคาท์ก็สั้น รูปโปรไฟล์ก็เป็นสีดำ แถมหน้าโฮมก็ไม่มีอะไรอัพเดทเลยสักอย่าง คนๆนี้เป็นคนประเภทไหนกันแน่เนี่ย

D : หน้าเราแบบนี้อะ พอจะจำได้ไหม














สักพักข้อความก็เด้งกลับคืนมาแบบนาทีต่อหน้าที ก่อนจะปรากฏรูปหน้าบานๆของใครคนหนึ่งส่งมาให้ แบคฮยอนจิ้มรูปนั้นเปิดเป็นภาพใหญ่ขึ้นมาดู เขาถึงกับต้องหลุดขำออกมาเมื่อเห็นสกิลการเซลฟี่ที่อยู่ในระดับต่ำแรงจนอยากพาไปเข้าคอร์สถ่ายรูปซักสองเดือน ตาโปนๆ เหลือกๆ จมูกเล็กๆและริมฝีปากรูปหัวใจ เขาพอจะนึกออกแล้ว เด็กท่าทางเจี๋ยมเจี้ยมคนนั้นเองที่เกือบจะโดนอิหูบานทำโทษเมื่อวันก่อน

BAEKHYUN NAJA : อ๋อ ตาโปนที่นั่งข้างหลังเราวันนั้นนี่ ไม่ตั้งดิสเป็นหน้าตัวเองเราก็เลยงงว่าใคร โทษทีๆ ฮ่าๆ

D : อ่อ หน้าตาเราไม่หล่อเหมือนแบคฮยอนเราก็เลยไม่ค่อยเซลฟี่อะ ฮี่ๆ

บรรยากาศเริ่มมาคุ จากที่ขำค้างอยู่เป็นอันต้องชะงัก แบคฮยอนไม่รู้ตัวว่าเขากำลังโดนแซะหรือโดนยออยู่กันแน่ แต่สำหรับคนมองโลกในแง่ดีอย่างเขาแล้ว คยองซูตัวเล็กต้องกำลังยอเขาอยู่แน่ๆ พูดถูกใจป๋าคำเดียวเท่านั้นละมึง ทีนี้คุยกันยาวแน่นอน

D : งั้นไว้เดี๋ยวเราเลี้ยงข้าว ตอบแทนที่นายช่วยเราวันนั้นแล้วกันนะ

BAEKHYUN NAJA : เฮ้ย เกรงใจ ..ว่าแต่วันไหนดี

D : ถ้าพรุ่งนี้แบคฮยอนสะดวกก็พรุ่งนี้ก็ได้ แต่ว่าคืนนี้ดึกแล้ว เราไม่กวนแล้ว ให้แบคฮยอนไปนอนก่อนดีกว่า ฝันดีนะ

ไม่ถึงหนึ่งนาที ฝั่งนั้นก็ตอบกลับมาแล้ว และที่สำคัญคือข้ามมุขกูด้วย นอกจากจะไม่ตบมุขให้แล้วยังไม่ขำให้กูอีกต่างหาก ดูกูกลายเป็นคนเห็นแก่กินไปในพริบตา แถมยังสรุปบทสนทนาให้เสร็จสรรพ แบคฮยอนขมวดคิ้ว รู้สึกเหมือนเขากำลังคุยกับระบบตอบกลับอัตโนมัติยังไงอย่างงั้น

BAEKHYUN NAJA : อ่า ฝันดีๆ

D : ยินดีที่ได้รู้จักนะ เพื่อนใหม่

ส่งสติกเกอร์น่ารักมาอีกแล้ว แบคฮยอนส่งสติกเกอร์ฟรีทุเรศๆที่เคยโหลดมาตอบกลับไป ไม่รู้ทำไมถึงยังเปิดหน้าแชทนั้นค้างไว้ทั้งๆที่บนสนทนาจบลงแล้ว

D changed profile picture

สักพักแจ้งเตือนที่หน้าฟีดก็ปรากฏขึ้นบนหน้าจอ เพื่อนใหม่ของเขาเปลี่ยนรูปโปรไฟล์เป็นรูปของเจ้าตัวที่ส่งให้เขาดูเมื่อครู่ ใบหน้าแป้นแล้นกับริมฝีปากรูปหัวใจปรากฏขึ้นแทนที่รูปสีดำอันว่างเปล่า แบคฮยอนหลุดยิ้ม เพื่อนใหม่คนนี้ของเขา ..ก็ดูท่าจะเป็นคนน่ารักเหมือนกันแฮะ

ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันนะ เพื่อนใหม่ J






to be continue 
ติดตามต่อตอนต่อไปจ้า

ร่วมให้กำลังใจและสกรีมแท็กโดยการส่งems มาที่ #ผชจรขตขพธ 
ครั้งและแปดแสนบาททั่วทวีปโอเชียเนีย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
รายได้หลังจากหักค่าใช้จ่ายจะนำไปบริจาคให้กับองค์กรสภากะเทยแห่งประเทศไทย
และสมาคมอนุรักษ์ช้างตกมันเชือกที่แปดแห่งแอฟริกาใต้ค่ะ 
ขอบคุณที่ร่วมเดินทางกับเรามาตลอดหลายบรรทัด 
แล้วเจอกันค่ะ