CHANBAEK↯ผู้ชายจังไรขอแต้บไข่เพื่อเธอ #ผชจรขตขพธ - KIDS VERSION
เผื่อว่าใครยังไม่ได้อ่านนะ
ความจังไรมันเริ่มขึ้นตั้งแต่สมัยโคตรเหง้าศักราชละ
ลองนึกย้อนไปเมื่อ13ปีก่อนดิ
“หม่ามี๊
พี่ปาร์คอยากได้ขนมอันนั้น “
เด็กชายวัย7ขวบหันไปบอกผู้เป็นแม่ในขณะที่รอคิดตังหน้าเคาท์เตอร์ที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง
มือน้อยเกาะที่เคาท์เตอร์พลางเขย่งตัวขึ้น
ชี้นิ้วไปที่กล่องหลากหลายสีที่วางเรียงอยู่บนชั้นตรงเคาท์เตอร์แคชเชียร์
“ไม่ได้ครับ
พี่ปาร์คยังเด็ก ไว้โตกว่านี้ค่อยซื้อนะ“
คุณแม่ตอบก่อนจะลูบหัวเด็กชายด้วยความเอ็นดู
“ต้องโตขนาดไหนครับ
พี่ปาร์คโตแล้ว กินได้ “ เด็กชายว่า
เขย่งหยิบเจ้ากล่องหลากสีสามสี่กล่องนั้นมาไว้ในอ้อมแขนอย่างเอาแต่ใจ
“กินไม่ได้ครับ
พี่ปาร์คเอาเก็บนะ เชื่อหม่ามี๊นะครับ “ พูดบอกดีๆพลางหยิบกล่องถุงยาง
จากมือของเด็กชายมาเก็บไว้ที่เดิม
คุณแม่วัยกระเตาะหันไปยิ้มแหยๆให้กับแคชเชียร์ที่กำลังคิดเงินด้วยความกระดากอาย
ในรถขณะเดินทางกลับบ้าน
กล่องรถบังคับคันใหญ่ที่วางอยู่บนหน้าตักของเด็กชายถูกแกะออกมาเล่นตั้งแต่ยังไม่ถึงบ้าน
ปากเอาแต่พูดถึงสรรพคุณของมันละเอียดยิบให้คุณแม่ฟัง
ก่อนที่รถเก๋งคันหรูจะจอดที่หน้าบ้าน เด็กชายรีบวิ่งเข้าบ้านแล้วขึ้นไปบนห้องนอนของตัวเอง
วางรถบังคับคันใหม่ไว้บนเตียงก่อนจะคว้าเจ้าหมอนข้างสีเหลืองลายลูกไก่มากอดไว้แนบอก
ริมฝีปากเล็กของเด็กชายจุ๊บเบาๆที่หมอนข้างสุดรัก
“นี่เจี๊ยบวันนี้เราได้ของเล่นใหม่มาด้วย
เจี๊ยบเล่นกับเรานะ “
เล่าให้หมอนข้างของตัวเองฟัง
ก่อนจะวางมันให้นั่งพิงหัวเตียง เด็กชายหยิบรถบังคับขึ้นมาอวด
คุณแม่ยิ้มน้อยๆในขณะที่จัดบรรดาของใช้ที่ซื้อมาเก็บใส่ตู้
ด้วยความที่ไม่ค่อยจะมีเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน
แถมลูกชายยังซ้ำชั้นเพราะสมองไม่ค่อยจะเปิดรับความรู้ที่คุณครูสอน หรือเรียกได้สั้นๆว่าไฮเปอร์นั่นเอง
แต่ถึงอย่างนั้น ชานยอลก็เป็นเด็กอารมณ์ดี ร่าเริงตลอดเวลา
เธอมั่นใจว่าเธอจะเลี้ยงลูกชายเพียงคนเดียวของเธอได้ดีพอ
ถึงแม้สามีจะเสียชีวิตไปเกือบปีแล้วก็ตาม
“พรุ่งนี้เราจะได้ไปโรงเรียนด้วย
แต่ว่าเอาเจี๊ยบไปด้วยเหมือนตอนอนุบาลสองไม่ได้แล้ว เราขอโทษนะ
“ว่าแล้วก็คว้าหมอนข้างมากอดอีกครั้งพลางหลับตาลง
คนเป็นแม่ยิ้มขำในความน่ารักของลูกชาย
ดูเหมือนเจ้าหมอนข้างลายลูกเจี๊ยบที่เธอเป็นคนซื้อและตั้งชื่อให้จะคลายเหงาให้กับเด็กชายได้ดีเหลือเกิน
“พี่ปาร์ค
ถึงเวลากินข้าวแล้วนะครับ “
“คร้าบผม “
ขานรับแล้วจุ้บเบาๆที่หมอนข้างนุ่มนิ่มอีกที
พลางห่มผ้าให้เสร็จสรรพก่อนจะวิ่งลงไปข้างล่างเพื่อกินข้าวเย็นพร้อมกัน
เช้าวันต่อมา
รถเก๋งคันงามจอดที่หน้าโรงเรียน
เด็กชายเกาะกระจกรถมองออกไปข้างนอกด้วยความตื่นเต้น วันเปิดเรียนวันแรกคนเยอะเป็นพิเศษ
แถมวันนี้ยังเป็นวันพิเศษของเขา เพราะได้ขึ้นชั้นเรียนหลังจากที่ต้องซ้ำชั้นมาถึงหนึ่งปีเต็ม
“อย่าทำกระเป๋าตังหาย
“
“ฮะ “ เด็กชายตอบ
จับกระเป๋าตังลายลูกไก่ที่ห้อยคอไว้แน่น
ข้างในบรรจุเหรียญสำหรับซื้อขนมในช่วงพักกลางวัน
“นมเอาใส่กระเป๋าแล้วใช่ไหมครับ
? “
คุณแม่ถาม
ยื่นมือมาจัดปกเสื้อให้ลูกชาย ชานยอลพยักหน้า นมจืดกล่องเล็กถูกใส่อยู่ในช่องกระเป๋าด้านซ้ายและด้านขวาอย่างละกล่อง
“ใส่แล้วครับ “
“ตั้งใจเรียน เป็นเด็กดี
ไม่ดื้อไม่ซนนะครับพี่ปาร์ค แล้วเดี๋ยวตอนเย็นหม่ามี๊มารับ โอเคไหม ? “
“ โอเคครับรักน้าๆๆๆๆๆ “
“มาจุ๊บๆก่อนเร็วครับ “
คุณแม่โน้มหน้าลงมา
เด็กชายหันไปประทับริมฝีปากเล็กๆกับริมฝีปากของคุณแม่เหมือนทุกครั้งที่เคยทำ
ก่อนประตูรถจะเปิดออก คุณแม่วัยกระเตาะยิ้ม มองร่างเล็กๆของลูกชายที่สะพายกระเป๋าใบเล็กลายซุปเปอร์แมนกำลังเดินเข้าโรงเรียนด้วยความปลาบปลื้ม
.. ชานยอลจะเติบโตขึ้นมาเป็นคนดีของสังคม
แต่คุณแม่คิดผิดไปนิด
ในช่วงพักกลางวัน เด็กชายปาร์คชานยอลก็ทำแสบด้วยการเทอาหารใส่กระเป๋าเพื่อนที่นั่งข้างๆ
ด้วยความที่เขาไม่ชอบกินผัก และคุณครูบังคับให้กินให้หมด เด็กชายจัดการเทแกงจืดและเศษข้าวใส่กระเป๋าสีเขียวอ่อนของแบคฮยอน
เพื่อนร่วมห้องพร้อมกับรูดซิปให้เสร็จสรรพเพื่อทำลายหลักฐาน
ก่อนจะเดินยิ้มแป้นเอาจานไปเก็บและรับขนมมาทานอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว
“คุณครูครับ! ชานยอลเอาข้าวมาเทใส่กระเป๋าผม! “
เด็กชายตัวเล็กกว่าวิ่งมาฟ้อง
เมื่อเปิดกระเป๋าดูแล้วพบว่ามันเละเทะและเต็มไปด้วยเศษอาหาร
“พี่ปาร์ค เอาอีกแล้วนะครับ
ถ้าทำนิสัยแบบนี้อีกจะไม่มีใครรักนะ ขอโทษแบคฮยอนเดี๋ยวนี้เลย” คุณครูดุเข้าให้
แต่มีหรือเด็กชายปาร์คชานยอลจะฟัง เขายังคงนั่งลอยหน้าลอยตา มือน้อยบีบปีโป้เข้าปากอันแล้วอันเล่า
“ไม่! พี่ปาร์คไม่ผิดอะครับคุณครู “
“ไม่ผิดได้ยังไง
เอาข้าวไปเทใส่กระเป๋าเพื่อนแบบนี้ใช้ได้ที่ไหน “
“ใช้ไม่ได้ก็เอาไปซ่อมดิครับ อะฮิ“
เด็กชายว่า
ถึงแม้จะโตขึ้นและพูดจารู้เรื่องขึ้นกว่าเดิมแล้วก็ตาม
แต่ก็ใช่ว่าจะปกติเหมือนคนอื่นๆ ความไฮเปอร์ยังคงอยู่แบบร้อยเปอร์เซ็น
คุณครูถอนหายใจด้วยความเหนื่อยใจ ไม่มีใครสามารถต่อกรกับเด็กคนนี้ได้
นี่ขนาดอายุแค่7ขวบยังแสบซะขนาดนี้ เธอนึกไม่ออกเลยว่าถ้าโตไปจะเป็นยังไง
จนในที่สุดคุณครูก็ยอมแพ้
คำขอโทษยังไม่เคยหลุดออกจากปากของเด็กชาย ยิ่งทำให้แบคฮยอน
เพื่อนร่วมห้องที่ไม่ค่อยถูกชะตากันเท่าไหร่นักยิ่งไม่ชอบเขายิ่งขึ้นไปอีก
แต่ใครสน ปาร์คชานยอลมีเพื่อนชื่อเจี๊ยบคนเดียวเท่านั้น และนอกจากนั้น
เขายังมีรถบังคับคันใหม่อีกด้วย ใครจะไปสนไอ้ตัวกะเปี๊ยกนั่นกัน
“ความฝันของผม โตขึ้นผมจะเป็นนักบินฮะ
ผมจะไปเที่ยวรอบโลกเลย “
ท่ามกลางบรรยากาศในห้องเรียนที่สนุกสนาน
คุณครูให้เด็กๆออกมาพูดเกี่ยวกับความใฝ่ฝันของตัวเอง
เด็กชายปาร์คชานยอลนั่งอยู่ที่พื้นหลังห้อง เล่นหุ่นยนต์อยู่คนเดียวเงียบๆ นมจืดสองกล่องถูกดูดจนเกลี้ยงก่อนจะขยำจนบู้บี้แล้ววางไว้ข้างตัว
จนถึงคราวที่เด็กชายต้องออกมาพูดบ้าง ทั้งห้องเงียบกริบ
ทุกคนตั้งใจฟังพี่ใหญ่ที่สุดในห้องพูดเล่าความฝันของตัวเอง
“โตขึ้นอยากเป็นมะเร็งครับ เพราะจะได้เข้าโรงพยาบาลบ่อยๆ
พี่สาวที่โรงพยาบาลใจดีมากเลยฮะ
แถมที่โรงพยาบาลยังมีพี่สาวแบบนี้เต็มไปหมดล้อมหน้าล้อมหลังเลย ..“ ชานยอลพูด
จินตนาการถึงพี่พยาบาลที่ชอบมาคุยกับเขาเวลาไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาล
“.....” ทั้งห้องเงียบกริบ
ไม่มีใครกล้าแม้แต่จะหายใจแรง ทุกคนจดจ่ออยู่กับคำพูดของเด็กชายผู้มากจินตนาการ
“ถ้าโตขึ้น
ผมจะแต่งงานกับเจี๊ยบฮะ เรารักกัน แล้วก็จะแต่งงานกับหม่ามี๊
แต่งงานกับตู้เย็นที่บ้านด้วยครับ “เด็กชายพูด
เมื่อทุกคนทำหน้าสงสัยจึงกลั้นใจพูดต่อไปอีก แค่พูดถึงเจี๊ยบก็อยากกลับบ้านไปเล่นด้วยจังเลย
“เจี๊ยบคือหมอนข้างที่บ้านของผมเองฮะ หม่ามี๊เป็นคนตั้งชื่อให้
เป็นหมอนข้างลายลูกไก่สีเหลือง ตัวเท่านี้ เวลากอดจะนิ่มๆ หอมๆ
เจี๊ยบฟังผมพูดทุกอย่าง เจี๊ยบไม่เคยเถียง แล้วเจี๊ยบก็ไม่ฉี่รดที่นอน ผมรักเจี๊ยบ
หม่ามี๊บอกว่า ถ้าเรารักใคร โตขึ้นเราแต่งงานกับเขาได้ ผมจะแต่งงานกะเจี๊ยบ แล้วเราจะไปอยู่ที่บ้านชายทะเล
ใช้ชีวิตกันสองคนที่นั่นจนแก่เฒ่าเลยฮะ “
ตรึ่ง!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
ทั้งห้องเงียบกริบ
เพื่อนๆพากันอ้าปากค้างเป็นแถบๆ คุณครูหัวเราะ ก่อนจะให้เด็กชายกลับไปนั่งที่ของตัวเอง
ชานยอลโค้งอย่างมีมารยาทให้เพื่อนๆ ก่อนจะกลับไปนั่งที่เดิมของตัวเอง
ในช่วงบ่าย
เด็กๆทุกคนช่วยกันปูฟูกนอนเรียงกัน ก่อนที่จะทำกิจกรรมเล็กน้อยและนอนกลางวัน
ไม่รู้ว่าเป็นโชคร้ายของชานยอล หรือแบคฮยอนกันแน่ ที่ทั้งคู่ได้นอนติดกัน
ชานยอลกราบหมอนตามที่หม่ามี๊สอน ก่อนจะนอนลง
คายหมากฝรั่งที่เคี้ยวจนนิ่มได้ที่ไว้ที่ข้างหมอน
เพราะหม่ามี๊สอนว่าเวลานอนต้องไม่มีอะไรอยู่ในปาก
“คุณครู!!!!!!
ชานยอลแกล้งผมอีกแล้ว แง “
เด็กชายสะลึมสะลือตื่นขึ้นมาในทันทีหลังจากหนึ่งชั่วโมงผ่านไป
เสียงตะโกนของแบคฮยอนทำให้เขาต้องยกมือขึ้นมาอุดหูด้วยความรำคาญ
ลืมตามองก็เห็นไอ้ตัวกะเปี๊ยกที่นอนข้างๆเขาซึ่งตอนนี้นั่งร้องไห้อยู่ตรงปลายฟูกที่นอน
บนหัวมีหมากฝรั่งที่เคี้ยวแล้วติดอยู่ .. ชานยอลมองไปที่ข้างหมอน
หมากฝรั่งที่เขาคายทิ้งไว้หายไปแล้ว
“ชานยอล! ทำไมทำแบบนี้! “
ครั้งนี้ไม่ใช่แค่โดนดุอย่างเดียว
คุณครูถือไม้เรียวเดินเข้ามาหา แต่มีหรือพี่ปาร์คจะยอม เด็กชายวิ่งวนไปรอบห้อง
ไม่ยอมถูกตี ทั้งห้องโกลาหลไปหมดเพราะเด็กๆคนอื่นๆเริ่มจะตื่นขึ้นมาคุยกัน
ชานยอลวิ่งโร่ไปรอบห้อง โดยที่คุณครูยังคอยวิ่งตามจะลงโทษเขาให้ได้ เสียงเซ็งแซ่ของเด็กๆเคล้าไปกับเสียงร้องไห้งอแงของแบคฮยอน
“ฮือๆๆๆๆ “
เส้นผมสีคาราเมลกลุ่มหนึ่งถูกตัดออกไปเพราะแกะหมากฝรั่งไม่ออก
ผมบ็อบของแบคฮยอนจึงแหว่งไปข้างหนึ่งอย่างช่วยไม่ได้ ชานยอลหัวเราะลั่น ถึงจะนึกสงสาร
แต่ก็ไม่ขอโทษเพราะว่าเขาไม่ผิด ก็ใครใช้ให้เด็กนี่เอาหัวไปจิ้มหมากฝรั่งที่เขาคายทิ้งไว้กันล่ะ
ตกเย็น
คุณแม่ของชานยอลมารับที่โรงเรียน พร้อมกับแบคฮยอนซึ่งอยู่บ้านติดกันกลับไปด้วย
เพราะว่าคุณพ่อของแบคฮยอนไม่ว่าง ตลอดการเดินทาง ชานยอลแกล้งแบคฮยอนตลอดเวลาด้วยความหมั่นไส้
จนเด็กชายตัวเล็กร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถ้าไม่โดนคุณแม่ดุ ก็คงจะไม่หยุดเอาง่ายๆ
เป็นโชคร้ายอีกรอบของแบคฮยอน
เมื่อในวันหยุดสุดสัปดาห์ถัดมา คุณพ่อของเขาต้องไปทำงานที่ต่างจังหวัดในระยะยาว
และฝากแบคฮยอนไว้กับคุณแม่ของชานยอล ในตอนแรก เด็กชายเกร็งจนทำตัวไม่ถูก
แต่หม่ามี๊ใจดี เขาจึงไม่กลัวมากนัก ที่จะกลัวก็มีแต่ลูกชายตัวดีนั่นแหละ
แบคฮยอนระแวงทุกครั้ง ที่ชานยอลเดินลากหมอนข้างที่ชื่อเจี๊ยบไปมาในบ้าน
พร้อมกับบ่นพึมพำให้หมอนข้างฟัง แถมยังกอด หอม จุ้บมันอยู่ตลอดเวลา
ถึงแม้ว่าเขาจะอายุแค่ห้าขวบ แต่เขาก็รู้ว่าชานยอลไม่ใช่คนสติดีเท่าไหร่นัก
“แบคฮยอน
เค้าไปฉี่แปปเดียวตัวเองมาแอบยุ่งอะไรกับเจี๊ยบของเค้า!”
ถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่เป็นมิตร ก่อนจะกระชากเจี๊ยบออกจากมือน้อยจนแบคฮยอนเซไปตามแรง
แล้วดึงหมอนข้างสุดรักมากอดแนบอก ส่งสายตาอาฆาตให้ไอ้เด็กตัวเตี้ยด้วยความไม่พอใจ
“ใครจะอยากยุ่งกับหมอนข้างเน่าของตัวเองกัน บู่ว“ คนตัวเล็กกว่าตอบ
เบ้ปากใส่พลางแลบลิ้นยั่วโมโห
ก่อนจะหันไปสนใจหนังสือนิทานที่หม่ามี๊ของชานยอลเป็นคนซื้อให้ต่อ
“อ่านไรอะ อ่านให้ฟังมั่ง
“ เพิ่งจะว่ากันไปเมื่อกี้ ชานยอลเปลี่ยนอารมณ์เร็วจนเขาตามไม่ทัน
เด็กชายตัวสูงเดินไปนั่งลงที่เบาะข้างๆกัน อุ้มเจี๊ยบไว้บนตัก
พลางชะโงกหน้ามองหน้าหนังสือนิทานที่มีตัวหนังสือและรูปภาพอยู่ด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“อ่านไม่ออกหรือไง
อ่านเองสิ“
“อ่านออกก็ไม่ซ้ำชั้นหรอก
“
ชานยอลตอบพลางก้มหน้างุด
กอดเจี๊ยบไว้แน่น เขาเห็นความเศร้าอยู่ในแววตาคู่นั้น ที่จริงแล้วชานยอลไม่ใช่คนมีพิษมีภัยอะไร
แถมยังน่าสงสารเสียด้วยซ้ำ เด็กชายตัวเล็กถอนหายใจแล้วเดินไปเปิดกระเป๋าของตัวเอง
หยิบกระดาษและสีเทียนออกมา ก่อนที่เขาจะเริ่มสอนชานยอลอ่านและเขียนหนังสือ
พอถึงช่วงเย็น
การสอนหนังสือของคุณครูแบคฮยอนถูกคั่นด้วยมื้ออาหารค่ำ อาหารสำหรับเด็กสองชุดที่เหมือนกันถูกจัดวางไว้ข้างกัน
เจ้าตัวเล็กทั้งสองปีนเก้าอี้ขึ้นมานั่งบนโต๊ะอาหาร
ทั้งแบคฮยอนและชานยอลก็ดูจะลดทิฐิที่มีต่ออีกฝ่ายลงไปมาก
คุณแม่นั่งลงที่ฝั่งตรงข้าม ก่อนจะลงมือทานอาหารพร้อมๆกัน มื้ออาหารเจือไปด้วยเสียงหัวเราะ
ในที่สุดลูกชายของเธอก็มีเพื่อนเสียที
จักรยานสองล้อคันอย่างเฟี้ยวตวัดหลังจอดดริฟท์แบบเทพอยู่ที่ริมสนามเด็กเล่น
ฝ่าเท้าเล็กที่สวมรองเท้าแตะคู่เก่าวางจรดลงบนพื้น คิมจงอินวาดขาออกจากเบาะลงไปยืนบนพื้นอย่างมาดมั่น
มือเล็กกำหนังกะติ๊กคู่ใจและก้อนหินไว้แน่น ดูเหมือนเขาจะเก๋าที่สุดในซอย
จากหัวจรดเท้า เด็กชายผิวแทนสวมเพียงเสื้อกล้ามสีดำและกางเกงขาสามส่วน
ตามเนื้อตัวที่เต็มไปด้วยรอยแผลทำให้รู้ว่าเขาเองก็เกเรพอสมควร
“ฮือออๆๆๆๆๆๆ “
เสียงร้องไห้ของใครอีกคนเรียกให้ใบหน้าที่เต็มไปด้วยพลาสเตอร์ปิดแผลลายการ์ตูนต้องหันกลับไปมอง
ตรงที่กระบะทรายริมสุดของสนามเด็กเล่น
ปรากฏให้เห็นเด็กชายตัวเล็กคนหนึ่งกำลังร้องไห้อยู่คนเดียว
เมื่อมองซ้ายมองขวาไม่เห็นใคร จงอินคนเก๋าจึงรีบสาวเท้าก้าวเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว
“เป็นอะไร”
“ฮือๆๆๆๆๆๆ “
ถอนหายใจออกมาด้วยความรำคาญ เด็กก็เหมือนๆกันหมด ขี้แยและน่าเบื่อ ถึงจะคิดอย่างนั้นก็ตาม
อันที่จริงแล้วคิมจงอินมีอายุเพียง5ขวบเท่านั้น
แต่ด้วยความที่ที่บ้านเลี้ยงมาไม่เหมือนใคร และต้องทำทุกๆอย่างด้วยตัวเองตั้งแต่เด็กๆ
ทั้งยังต้องช่วยงานที่บ้านอีกด้วย ทำให้เขาดูโตขึ้นกว่าเด็กๆทั่วไป ถึงแม้จะดูแก่แดดไปสักหน่อยก็เถอะ
“โอ๋ ไม่เป็นไรนะ
ชื่ออะไร หืม “ เรียนรู้ที่จะพูดแบบที่ผู้ใหญ่เขาพูดกัน ฝ่ามืออบอุ่นเลื่อนขึ้นไปลูบผมของเด็กตัวขาวเบาๆ
จนในที่สุดเจ้าเด็กขี้แยก็ยอมเปิดปากพูดกับเขาจนได้
“เซ .. เซฮุน ฮึก “
“โอเค เซฮุน
พี่ชื่อจงอินนะ อย่างร้องไห้ แม่อยู่ไหน “ ถือวิสาสะเรียกพี่ทั้งๆที่ไม่รู้อายุอีกคน
แต่ก็อย่างว่าแหละ ตัวแค่นี้จะอายุซักกี่ขวบกันเชียว
“ไม่ ..ไม่รู้ ฮือ ..“
ถอนหายใจเป็นรอบที่ล้าน
ไม่รู้เขาคิดถูกรึเปล่าที่มายุ่งกับเด็กงี่เง่าไม่รู้จักโต อันที่จริงเขาแค่หนีป๊ามายิงนกเล่นแถวนี้ก็เท่านั้น
เด็กชายมองไปรอบๆ ฟ้าเริ่มมืดลงทุกที แถวนี้ก็ไม่มีใครอยู่เลยสักคน
“เอางี้ บ้านอยู่ไหน
เดี๋ยวพี่พาไปส่ง “ ย่อตัวนั่งลงให้อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าแล้วช้อนสายตาขึ้นมองใบหน้าขาวเนียนให้ชัดๆ
จงอินถึงกับผงะไปเล็กน้อย
ไม่เข้าใจว่าทำไมเด็กผู้หญิงถึงได้ตัดผมบ๊อบสั้นแบบผู้ชาย เด็กสมัยนี้
เป็นทอมตั้งแต่เด็กเลยหรือยังไงกัน
“อยู่ ..อยู่ข้างๆโรงน้ำแข็ง”
คนตัวขาวละล่ำละลักตอบ เพียงเท่านั้นจงอินก็ถอนหายใจพรืด
เขาหาเรื่องใส่ตัวจริงๆด้วย อยู่ข้างโรงน้ำแข็ง งั้นแสดงว่าก็อยู่ข้างบ้านเขาน่ะสิ
ต้องเป็นบ้านของคุณน้าใจดีที่เพิ่งย้ายเข้ามาใหม่เมื่อวานซืนแน่ๆ
เด็กชายผิวแทนยกมือขึ้นกุมขมับ เขาเพิ่งจะหนีออกมาแท้ๆก็ต้องกลับเข้าไปอีกรอบหรอวะเนี่ย
“ไปเร็ว ลุกขึ้น “
แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเอื้อมมือไปฉุดมือน้อยให้ลุกขึ้น
จูงคนตัวขาวไปที่จักรยานที่จอดไว้
หนังกะติ้กกับลูกหินก็เป็นอันต้องเก็บใส่กระเป๋ากางเกงไว้อย่างเดิม หันกลับไปบอกเจ้าเด็กงี่เง่าให้เกาะเอวเขาไว้แน่นๆ
ก่อนจะเริ่มออกแรงปั่นจักรยานคันเก่งกลับบ้าน สัมผัสเปียกชื้นที่แผ่นหลังนั้นทำให้เขารู้สึกเกลียดเด็กมากกว่าเดิม
เจ้าเด็กนี่เช็ดทั้งน้ำตาน้ำมูกเปรอะเต็มเสื้อเขาไปหมดเลย
“ออดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”
รัวออดอย่างไม่มีความเกรงอกเกรงใจ ด้วยความที่เป็นลูกคนจีน เขาจึงไม่ค่อยมีสามัญสำนึกในเรื่องนี้เท่าไหร่นัก
จงอินเขย่งปลายเท้ากดย้ำๆที่ออดหน้าบ้านอีกครั้งเมื่อเห็นว่าฟ้ามืดแล้วและยังไม่มีใครมาเปิดสักที
ไอ้เจ้าเด็กขี้แยข้างๆเขานี่ก็ร้องไห้ไม่หยุด น่ารำคาญจริงๆเลย
“โถ่เว้ยเงียบ! หยุดร้องได้แล้ว!“
“ฮึก .. “
จงอินหันไปตะคอก
แทนที่เจ้าเด็กขี้งอแงจะกลัวแล้วหยุดร้องไห้ กลับสะอื้นหนักขึ้นกว่าเดิม
มือเล็กกำเสื้อของเขาไว้แน่นแล้วก้มหน้าร้องไห้อย่างน่าสงสาร จงอินถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย
เขาเกลียดเด็ก ยิ่งพวกที่พูดจาไม่รู้เรื่องแล้วมันน่าจับตีแล้วเอาผ้าอุดปากซะให้เข็ด
เด็กชายผิวเข้มเตะก้อนหินที่พื้นด้วยความเซ็ง ยุงก็เยอะเหลือเกิน
“โว้ย! ..โอ๋เอ๋ ไม่เอานะ ไม่ร้องนะครับเด็กดี เข้าบ้านกันนะ “
เมื่อเห็นว่าไม่มีใครมาเปิดประตูให้สักที
เด็กชายจึงค่อยๆเช็ดน้ำตาออกให้ด้วยปลายนิ้ว
ก่อนจะคว้ามือน้อยดึงให้เข้าไปในบ้านของเขา
“ป๊า อั้วพาเพื่อนขึ้นไปบนห้องนะ
บ้านอีอยู่ข้างๆเนี่ย ไม่มีคนอยู่ “
ตะโกนลั่นให้ผู้เป็นพ่อที่อยู่หลังบ้านได้ยิน เขาเสียงดังจนเซฮุนสะดุ้งด้วยความตกใจ
เด็กชายตัวเล็กคงจะไม่ชินเท่าไหร่นักกับการที่คนในบ้านพูดกระโชกโฮกฮากใส่กัน
จงอินส่ายหัว จูงมือเล็กให้เดินขึ้นบันไดตรงไปยังห้องของเขา
“อยู่นี่ก่อนละกัน
หิวไหม “
“....” คิมจงอินถอนหายใจเมื่อไม่มีเสียงตอบรับจากเจ้าเด็กบื้อนี่นั่งก้มหน้าอยู่ตรงหน้า
.. คุยกับเด็กงี่เง่ามันยากกว่าที่คิด
“พูดออกมาจะตายไหม “
“ฮึก ... “
“โถ่เว้ย! เงียบ! “
“ฮึก .. ฮือออออ “
“เฮ้อ ชู่ว.. ไม่ร้องนะ
ไม่ดุแล้ว รอตรงนี้ เดี๋ยวหาอะไรให้กิน อย่าร้อง “
เด็กชายพูดตอบอย่างอ่อนใจ
ย่อตัวนั่งลงแล้วเกลี่ยปลายนิ้วโป้งเช็ดน้ำตาบนแก้มใสให้แผ่วเบา
บีบแก้มนิ่มเบาๆอย่างเอ็นดูก่อนจะลุกออกไปจากห้อง ตรงไปยังครัวชั้นล่าง
เปิดตู้เย็นหาอะไรที่พอจะทำให้เซฮุนกินได้ ก่อนจะรีบแจ้นขึ้นบันไดบ้านไปอีกรอบ
ในมือถือจานแซนวิซสามสี่ชิ้นที่เพิ่งทำเสร็จใหม่ๆ กับนมสดอีกหนึ่งแก้ว
“อะ กินซะ มีแค่นี้ “
พูดบอกแล้ววางมันลงบนพื้นห้อง เซฮุนดูท่าทางกล้าๆกลัวๆที่จะกินมัน
แต่ในที่สุดเด็กชายตัวขาวก็ลงมือกินอย่างหิวโหยเพราะไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่กลางวัน
จงอินนั่งขัดสมาธิอยู่ข้างๆ นั่งมองอีกคนกินอยู่เงียบๆ
ถือวิสาสะสำรวจโครงหน้าสวยหวานในระหว่างที่อีกคนกำลังสนใจกับแซนวิชและนมแก้วใหญ่
สวยมากเสียจนหยุดมองไม่ได้
“นี่
เป็นผู้หญิงทำไมชื่อเซฮุนล่ะ “
“อุ้ก! แค่กๆ ..“
และในระหว่างที่เด็กชายตัวเล็กกำลังยกแก้วนมขึ้นดื่มนั้นเอง
จงอินก็โพล่งถามออกไปด้วยความสงสัย เซฮุนสำลักแล้วไอโขลกจนตัวงอ
น้ำนมสีขาวหกเลอะตั้งแต่ริมฝีปากและปลายคาง
ไล่ลงมาจนถึงเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีชมพูอ่อนและกางเกงขาสั้นสีน้ำตาลครีม เลอะไปหมดเลย
..
“เฮ้อ ..อยู่เฉยๆ เดี๋ยวเช็ดเอง “
ได้ฤกษ์วิ่งลงไปชั้นล่างอีกครั้ง
จงอินจัดการเช็ดถูตรงพื้นห้องเสียจนเรียบร้อย เสื้อยืดและกางเกงที่น่าจะตัวเล็กที่สุดในตู้ถูกนำออกมาให้เซฮุนใส่
“ถอดเสื้อสิ
เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก “ จงอินสั่ง เมื่อเห็นอีกคนยังไม่ยอมถอดเสื้อออกสักที
“ถอดไม่เป็น “
เซฮุนตอบอ้อมแอ้ม
มือน้อยจับอยู่ตรงหูกระต่ายสีครีมบริเวณปกเสื้อ จงอินส่ายหัวด้วยความระอา
ก่อนจะเดินเข้าไปหาแล้วจัดการถอดมันออกให้
ดูจากการแต่งตัวก็น่าจะรู้แล้วว่าเป็นลูกคุณหนูแน่ๆ
เขาละอยากจะรู้ว่าแม่ของเด็กคนนี้คิดอะไรอยู่ จับลูกสาวตัดผมสั้นไม่พอ
ยังจับแต่งตัวซะเหมือนเด็กผู้ชายไม่มีผิด
“เอ่อ .. “
รู้สึกเก้ๆกังๆหลังจากถอดเสื้อเชิ้ตออกไปจากตัวของอีกคนให้แล้ว
ผิวขาวราวน้ำนมนั้นทำให้แก้มของเด็กชายร้อนผ่าวขึ้นมาเสียอย่างนั้น
ลืมไปซะสนิทว่าคนตรงหน้าไม่ใช่เด็กผู้ชาย แถมเจ้าตัวก็ยังทำเป็นไม่รู้ร้อนรู้หนาวยืนให้เขาถอดให้หน้าตาเฉย
จงอินหันหลังปิดตา ใบหน้าแดงก่ำไปถึงหู
“ที่เหลือก็ถอดเองละกัน
เสร็จแล้วก็ไปอาบน้ำซะ เสื้อผ้าวางอยู่บนเตียงนะ เดี๋ยว .. เดี๋ยวพี่มา “
รีบพูดออกไปรัวๆถึงแม้จะติดอ่าง
จงอินเดิมก้มหน้าก้มตาไปหยิบเสื้อผ้าของตัวเองในตู้แล้ววิ่งแจ้นออกจากห้องไปในทันที
ถึงแม้ว่าจะยังเด็กด้วยกันทั้งคู่ แต่เขาเป็นลูกผู้ชาย ต้องให้เกียรติผู้หญิง
แม่สอนมาแบบนั้น
ลงไปอาบน้ำที่ห้องน้ำชั้นล่าง จงอินใส่เสื้อผ้าตัวเดิมๆเหมือนทุกวัน
ซ้ำไปซ้ำมาอยู่ไม่กี่ชุด เด็กชายเดินขึ้นบันไดมาพร้อมกับผ้าเช็ดตัวที่พาดอยู่บ่า
เส้นผมที่เปียกชื้นน้อยๆขลับให้ใบหน้าคมดูมีสเน่ห์ขึ้นอีกเป็นกอง
เดินผ่านกระจกตรงหน้าห้องแล้วรู้สึกว่าตัวเองหล่อยังไงไม่รู้
นี่ขนาดแค่ห้าขวบเขายังหล่อขนาดนี้ โตขึ้นเขาจะต้องหล่อกว่านี้แน่ๆ
เปิดประตูเข้ามาก็แทบจะหงายล้มตึงลงบันไดไปเลยทีเดียว
ในช่วงจังหวะที่เซฮุนเดินออกมาจากห้องน้ำพอดี ภาพตรงหน้าที่เห็นคือเด็กชายตัวขาวไม่ได้มีอาภรณ์ใดปกปิดร่างกายอยู่เลย
จงอินแทบจะช็อค .. ทั้งเขาและเซฮุนมีอะไรๆที่เหมือนกัน
“เฮ้ย! ไม่เห็นๆ ไม่เห็นอะไรเลย จริงๆ “
และถึงแม้จะช้าไปหน่อย
มือหนายกขึ้นปิดตาตัวเองแล้วปฎิเสธเป็นพัลวัน
ได้แต่ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าประตูอยู่อย่างนั้น ไม่รู้ทำไมถึงยังรู้สึกเขินอยู่ อาจจะเป็นเพราะเขาไม่เคยอาบน้ำกับใครล่ะมั้ง
“เสร็จแล้ว “
เซฮุนตอบเสียงเบา
เขาเองก็ไม่ได้อะไร ชินซะแล้วกับการมีคนเห็นเขาแก้ผ้าโล่งโจ้ง
เพราะคุณแม่ก็อาบน้ำให้ทุกๆวัน เด็กชายสวมเสื้อยืดลายหมีและกางเกงบอลที่จงอินให้มา
และดูเหมือนมันจะหลวมไปเสียหน่อย ไหล่เสื้อตัวโคร่งจึงตกลงมาจนเห็นหัวไหล่มน
“ง่วงก็นอนซะ
เดี๋ยวพรุ่งนี้จะพาไปหาแม่ “
พูดบอกแล้วเดินไปปิดไฟจนเหลือแต่ไฟส้ม
เซฮุนได้แต่พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง จงอินมองอีกคนปีนขึ้นเตียงไปอย่างทุลักทุเล
ความสูงที่มีน้อยนิดนั้นทำให้เขาต้องเดินไปช่วยอุ้มเจ้าตัวเล็กให้ขึ้นไปนอนบนเตียง
ตวัดผ้าห่มเน่าของเขาห่มให้เซฮุนอย่างเสียดาย
ก่อนจะทำหน้าที่สุภาพบุรุษที่ดีอย่างที่คุณแม่เคยสอน
ขาเรียวก้าวพาตัวเองไปนอนที่โซฟาแทน
คิมจงอินนอนก่ายหน้าผากมองขึ้นไปบนเพดาน
.. ทำไมต้องเป็นสุภาพบุรุษ ในเมื่อเจ้าเด็กนี่ก็ไม่ใช่เด็กผู้หญิงสักหน่อย
“จงอิน พาน้องไปเล่นด้วยหน่อยสินะครับ
น้าต้องไปทำงานแล้ว “
และกลายเป็นกิจวัตรประจำวันที่ต้องทำ
เจ้าเด็กนี่กลายเป็นภาระของเขานับตั้งแต่คืนวันนั้น ตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาเซฮุนติดเขาแจจนเป็นอันไม่ได้ทำอะไร
และถึงแม้จะไม่ค่อยได้ทำงานที่บ้านหนักเท่าเดิมแล้ว
แต่เขากลับยิ่งปวดหัวหนักกว่าเดิม เขาเกลียดเด็ก
“ครับผม ไว้ใจได้ครับคุณน้า ไปทำงานดีๆนะครับ “
เอ่ยบอกคุณแม่ของเด็กชายที่กำลังซ้อนท้ายจักรยานเขาอยู่
คุณแม่วัยกระเตาะซึ่งอยู่ในชุดพยาบาลยิ้มอย่างปลาบปลื้มแล้วก้มลงมาหอมแก้มลูกชายก่อนจะเดินไปขึ้นรถ
เซฮุนโบกมือบ้ายบายคุณแม่ด้วยรอยยิ้ม ในมือถือนมกล้วยขวดเล็กอยู่หนึ่งขวด
ส่วนมืออีกข้างกำลังเกาะชายเสื้อของ พี่จงอิน ไว้แน่น
“วันนี้จะไปไหน
“
เอ่ยถามโปรแกรมไปเที่ยวเล่นวันนี้
จงอินถอนหายใจ น้ำแข็งถุงใหญ่ถูกห้อยไว้ที่แฮนด์จักรยานทั้งสองข้าง
ก่อนเจ้าตัวจะออกแรงปั่นออกไป ลำพังแค่น้ำแข็งถุงสองถุงก็หนักพออยู่แล้ว
นี่ยังต้องพ่วงไอ้เด็กตัวกะเปี้ยกนี่มาให้หนักเพิ่มขึ้นไปอีก
ส่งน้ำแข็งเสร็จก็หมดหน้าที่สำหรับวันนี้
ในช่วงบ่าย กิจกรรมที่เขาจะทำทุกวันคือปั่นจักรยานไปยิงนกแถวๆสนามเด็กเล่น
จงอินรีบปั่นไปอย่างรวดเร็ว จำได้ว่าเห็นรังนกอยู่แถวเสาไฟฟ้าเมื่อเช้าตอนไปส่งของ
เขาจะต้องไปสอยมันมาให้ได้
“นี่ตัวเองปั่นช้าๆหน่อยไม่ได้หรือไง”
เสียงเจ้ามารขัดความสุขดังขึ้นที่เบาะหลัง
จงอินหันไปเหล่มองเพียงแวบเดียวแล้วรีบปั่นต่ออย่างไม่สนใจ
นอกจากจะเป็นภาระแล้วยังน่ารำคาญสุดๆไปเลย
“กลัวนักก็ลงไป
“
“ไม่ได้กลัวสักหน่อย
น้องเซกลัวพี่จงอินล้ม“
“เหอะ “
แค่นหัวเราะแบบไม่ใส่ใจเท่าไหร่นัก
ก่อนจะออกแรงปั่นโดยไม่สนใจคนข้างหลังอีก ทำมาเป็นเรียกพี่จงอิน น้องเซฮุน น่ารักตายห่าเลย
อายุก็เท่ากันแท้ๆทำเป็นปัญญานิ่ม เด็กอะไรน่าหมั่นไส้ ขี้แย งอแง แถมเอาแต่ใจ
น่าเบื่อชะมัด
“ชานยอล! ลงมาเดี๋ยวนี้นะ!
ไม่งั้นเค้าจะฟ้องหม่ามี๊ว่าตัวเองซน! “
จอดจักรยานไว้ตรงข้างๆชิงช้าที่เดิมก็ต้องแปลกใจเมื่อสนามเด็กเล่นวันนี้ไม่ได้เป็นส่วนตัวเหมือนทุกๆวัน
จงอินรีบลงจากเบาะนั่งแล้วเดินจ้ำอ้าวเข้าไปหาต้นเสียงแหลมเล็กนั่นในทันทีโดยไม่สนใจเจ้าตัวเล็กที่นั่งซ้อนท้ายเขาอยู่เลย
“เดี๋ยวดิ
ตัวเองดูไรนี่! “
แทบจะพุ่งเข้าไปชกไอ้ตัวหูกางที่กำลังปีนต้นไม้อยู่ข้างบน
ขายาวทั้งสองข้างของเด็กชายแปลกหน้ากำลังพาดอยู่กับกิ่งไม้ใหญ่
ส่วนครึ่งตัวบนกำลังเกาะเสาไฟฟ้าไว้แน่น ในมือกำลังชูรังนกที่เขาเล็งไว้เมื่อเช้าให้เจ้าตัวกะเปี้ยกผมแหว่งอีกคนที่ยืนอยู่ข้างล่างดู
จงอินของขึ้น บังอาจนัก ไอ้เด็กนี่เป็นใครกัน
“เฮ้ย!
เอ็งอะ ไอหูกาง ปล่อยรังนกของข้าเดี๋ยวนี้นะโว้ย! “
จงอินตะโกนเรียก ล้วงเข้าไปหยิบหนังกะติ้กในกระเป๋ากางเกง
“แล้วเอ็งอะ
ไอ้เคอิโงะ เอ็งเป็นใคร รังนกนี่ของเอ็งที่ไหน มาด่ากันแบบนี้ไม่รู้ซะละว่าข้าเป็นใคร
ข้าลูกแม่นะว้อย! “ พี่ปาร์คตะโกนกลับมา เกาะเสาไฟฟ้าไว้แน่น
แขนเริ่มสั่นแน่นเพราะรู้สึกเมื่อยล้าเต็มที
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังถือรังนกไว้ในมือ
“แม่ไหนวะ! ถ้าเอ็งไม่ปล่อย ข้าจะยิงให้ร่วงเลย “ จงอินว่า
ก้มลงหยิบก้อนหินก้อนเล็กบนพื้นมากำไว้
“พี่จงอินอย่า
เดี๋ยวเค้าตายนะ “
และในจังหวะที่เล็งเป้าเตรียมจะยิงพอดี
มือน้อยๆของเจ้าเด็กงี่เง่าโอเซฮุนก็ขว้าหมับเข้าที่ข้อมือของเขา คนตัวขาวเม้มปากแน่นพลางมองหน้าอีกคนสลับกับเด็กผู้ชายตัวสูงที่อยู่บนต้นไม้
จงอินเหล่มองเล็กน้อยก่อนจะสะบัดทิ้ง ง้างก้อนหินยิงออกไปที่ชานยอลในทันที
เซฮุนเบะปาก น้ำตาคลอ
แค่แรงสะบัดเพียงเล็กน้อยนั้นก็ทำให้เด็กตัวเล็กๆอย่างเขาล้มก้นกระแทกพื้นได้อย่างง่ายดาย
“เฮ้ย! เฮ้ยๆๆๆอ้ากกกก “
“เยส!”
เสียงโวหกเหวกดังขึ้นเมื่อหินก้อนเล็กพุ่งแหวกอากาศออกไป
ก่อนเด็กชายตัวสูงจะร่วงลงจากต้นไม้หล่นลงใส่กระบะทรายดังตุ้บ
เจ้าเด็กแคระอีกคนร้องลั่นแล้ววิ่งเข้าไปหาในทันที
ในขณะที่จงอินกำหมัดแล้วถองเข้าข้างเอวพลางร้องเยสออกมาอย่างดีใจ เด็กชายกระตุกยิ้มมุมปากอย่างภาคภูมิใจก่อนจะหมุนตัวหันหลังกลับ
เดินผ่านเซฮุนที่ล้มก้นจ้ำเบ้าด้วยฝีมือตัวเองอยู่บนพื้นตรงไปยังจักรยานคันเก่งแล้วขี่ออกไปในทันที
“ตัวเองเจ็บมากไหม
“
“โอยยยยยยยยย
ไม่เจ็บมั้ง โอ้ยยยยๆๆๆๆๆ อ้ากกก ว้ากกกกกก “
เสียงโหวกเหวกโวยวายของเด็กชายปาร์คดังลั่นไปทั่วทั้งสนามเด็กเล่น
ชานยอลหงายหลังหล่นตุ้บลงมากระแทกกับพื้นทรายจังๆ
ยังดีที่กองทรายมีปริมาณมากพอสมควรจึงรองรับร่างของเด็กชายไว้ได้
แบคฮยอนรีบปีนข้ามกระบะทรายเข้าไปหาเพื่อนสนิทในทันทีด้วยความเป็นห่วง
เห็นชานยอลกำลังนอนคว่ำกุมหลังของตัวเองเอาไว้แล้วร้องโอดโอยออกมาอย่างทรมาน
“โอ๋ไม่เป็นไรนะ
ไม่เป็นไรนะ โอ๋ๆกันนะ“
“โอ๋อะไร
เค้าไม่ใช่เทเลทับบี้นะ โอ้ยๆๆๆๆๆ”
เข้าไปลูบหลังให้ด้วยความเป็นห่วง
ใบหน้าน่ารักนั้นติดกังวลเล็กน้อย มองไปรอบๆเพื่อหาความช่วยเหลือแต่ก็ไม่พบใคร
มีเพียงเด็กชายตัวขาวท่าทางเจ้าคุณหนูที่มากับไอ้เด็กดำตัวแสบที่ตอนนี้โดนทิ้งไว้อยู่คนเดียวเสียแล้ว
แบคฮยอนนั่งยองๆลงข้างๆชานยอล ริมฝีปากเล็กห่อลงแล้วค่อยๆเป่าลมเบาๆลงบริเวณแผ่นหลังของเพื่อนตัวสูง
ในใจนึกก่นด่าไอ้บ้านั่นอย่างแค้นเคือง
“ตัวเองเป็นอะไรรึเปล่าอะ
“
พยายามจะลุกขึ้นโดยมีแบคฮยอนช่วยประคอง
กลับมีเด็กผู้ชายอีกคนมาช่วยพยุงอีกคน
ชานยอลปรายตามองเจ้าเด็กตัวขาวที่มาช่วยพยุงเขาด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่นัก
เด็กชายสะบัดแขนหนีในทันทีแต่ก็ต้องร้องซิ้ดออกมาเพราะความเจ็บบริเวณหัวเข่า
รอยแผลที่เกิดจากการโดนครูดที่กระบะทรายนั้นถลอกจนเลือดซิบ
“ล้างแผลก่อนนะ
“
ถึงจะเห็นเลือดก็ยังมีสติ
ต่างจากแบคฮยอนที่ก้มหน้าปิดตาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ด้วยความที่คุณแม่เป็นพยาบาลเลยพอจะมีความรู้อยู่บ้าง
เซฮุนรีบพยุงเพื่อนใหม่ไปที่ก๊อกน้ำข้างสไลเดอร์แล้วค่อยๆล้างแผลออกให้ด้วยน้ำสะอาด
มือน้อยบรรจงลูบแผ่วเบาที่หัวเข่าของชานยอล
“เค้าชื่อแบคฮยอนนะ
ส่วนนี่ชานยอล “
“เค้าชื่อน้องเซฮุน
“
“อืม หวัดดี =_=”
“เค้าขอโทษแทนพี่จงอินด้วยนะ
พี่จงอินขี้แกล้ง “
หลังจากที่ล้างแผลเสร็จเรียบร้อยแล้วก็มาเล่นทรายกันเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เด็กชายทั้งสามเข้ากันได้ดีทีเดียว ในตอนแรกอาจจะเกร็งๆไปบ้างเพราะชานยอลไม่ชอบคุยกับคนแปลกหน้า
แต่ด้วยความที่แบคฮยอนเป็นคนอัธยาศัยดี ชอบหาเพื่อนใหม่
และเป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของชานยอลก็ทำให้เด็กชายเปิดใจรับเซฮุนเป็นเพื่อนใหม่ได้ไม่ยาก
“จะมืดแล้วนะ ตัวเองจะกลับยังไงอะ บ้านอยู่ไหน “
แบคฮยอนถามเพื่อนใหม่ เจ้าตัวเล็กยืนขึ้นปัดทรายออกจากก้นและตามเสื้อผ้า
มือน้อยถูกันไปมาเพื่อเอาเศษทรายออกไป เงยหน้ามองฟ้าก็พบว่าใกล้จะมืดเต็มทนแล้ว
ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้มอมชมพู ถึงเวลาที่เขากับชานยอลจะต้องกลับบ้านแล้ว
“อยู่ข้างๆโรงน้ำแข็ง “
เซฮุนตอบ ยังคงนั่งอยู่บนกองทราย
เขากำลังสนุกกับการก่อปราสาททรายด้วยเครื่องมือเพียงไม่กี่ชิ้น
มือน้อยกำทรายขึ้นโปะบนปราสาทแล้วตบมันเบาๆ ใช้กิ่งไม้ปักลงไปบนยอดด้านบนสุด
ไม่ได้รีบร้อนจะลุกไปไหน
“โรงน้ำแข็งไหนอะ
“
“ไม่รู้ “
“แบคฮยอนเร็วๆ
เดี๋ยวหม่ามี๊ดุนะ “ ชานยอลเอ่ยแทรก
ก่อนจะคว้าข้อมือเล็กของเพื่อนสนิทไว้ให้เดินออกมา แบคฮยอนยังคงยื้อ
นึกเป็นห่วงเพื่อนใหม่
“ตัวเองกลับบ้านเถอะ
เดี๋ยวคุณแม่ก็มารับแล้ว เค้าขอก่อปราสาททรายอีกหน่อย “
เอ่ยบอกเพื่อนใหม่พลางยิ้มให้
ก่อนแบคฮยอนจะโดนเพื่อนตัวโตลากออกไปจากสนามเด็กเล่น
เซฮุนถอนหายใจก่อนจะหันกลับมาสนใจกับปราสาททรายอีกครั้ง ฟ้าลืมมืดลงทุกที เด็กชายก้มหน้าลงกับตักของตัวเอง
ริมฝีปากเล็กเบะออก น้ำตาคลอ .. เขากลับบ้านเองไม่เป็น
“ฮือ .. “
ร้องไห้ออกมาเมื่อฟ้ามืดสนิท
มีเพียงแสงไฟจากเสาไฟฟ้าเท่านั้นที่ให้แสดงสว่างกับเขาในยามนี้
จะหวังให้คุณแม่มารับก็คงไม่ได้เพราะวันนี้คุณแม่เข้ากะกลางคืน
ส่วนคุณพ่อก็ลืมไปได้เลย คุณพ่อของเขาเป็นนายทหาร ต้องอยู่ที่ค่าย
แทบจะไม่ได้กลับบ้าน มือน้อยยกขึ้นปาดน้ำตาพลางสะอื้นไห้ เขาอยากจะเข้มแข็งกว่านี้
นึกถึงวันแรกที่ย้ายมาอยู่ที่นี่
คุณแม่ทิ้งเขาไว้ที่สนามเด็กเล่นแล้วไปทำงานโดยลืมไปเสียสนิท
นึกว่าฝากเขาไว้ที่สถานรับเลี้ยงเด็ก ยังดีที่จงอินมาเจอ
ไม่งั้นป่านนี้เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไงบ้าง
“ฮือ ..
พี่จงอิน “
ร้องไห้ฮือเรียกชื่อเพื่อนเพียงคนเดียวของเขา
ตั้งแต่เด็กเขาเองก็ไม่ได้มีเพื่อนที่ไหน จนได้มาเจอจงอินนี่แหละ
จงอินเป็นทั้งเพื่อน ทั้งพี่ชาย เป็นทุกๆอย่างของเขา
ถึงแม้ว่าจงอินจะชอบทำเหมือนรำคาญเขา แต่ก็ยังหิ้วเขาไปเล่นด้วยทุกๆวัน
ถึงแม้จะชอบว่าเขา แต่จงอินก็ไม่เคยหนีไปไหน เขาหวังว่าสักวันจะเข้มแข็งได้เท่าจงอิน
เขาหวังอย่างนั้น
“เรียกทำไม “
ใบหน้าน่ารักหันกลับไปยังต้นเสียงทั้งน้ำตา
เห็นจงอินยืนหอบอยู่ข้างหลัง ถึงแม้ว่าจะเห็นไม่ค่อยชัดเพราะสีผิวของเจ้าตัวก็ตาม
แต่พลาสเตอร์ปิดแผลลายยีราฟที่บนหางคิ้วของอีกคนที่เขาเป็นคนติดให้กับมือนั้น
เขาจำมันได้ดี เซฮุนลุกออกจากกระบะทรายแล้วโผเข้ากอดจงอินในทันที
ใบหน้าหวานซบลงกับอกของอีกคนพลางร้องไห้โฮ
“โว้ย จะร้องไห้ทำไมนักหนาวะ“
“ฮึก .. “
“เออ โอ๋ๆไม่ร้องดิ พี่อยู่นี่แล้ว
กลับบ้านกันนะครับ “
ยกมือลูบหัวอีกคนเป็นการปลอบประโลมเบาๆ
ก่อนจะผละออกแล้วจูงมือเล็กไปที่จักรยานคันเดิมแล้วพากลับบ้าน จงอินยิ้มพลางส่ายหัวเบาๆอย่างระอา
เจ้าเด็กงี่เง่าหลับคาแผ่นหลังของเขาในระหว่างที่ปั่นจักรยานกลับบ้าน
เดือดร้อนจงอินต้องอุ้มขึ้นไปนอนบนบ้านอย่างเสียไม่ได้ แต่ถึงจะตัวเล็กก็ยังหนักเอาการ
เพราะความสูงก็ไม่ได้ต่างกันมากสักเท่าไหร่นัก
ร่างเล็กๆของเซฮุนถูกวางลงอย่างเบามือบนเตียงกว้างของเจ้าของห้อง
จงอินจัดการห่มผ้าให้อีกคนเสร็จสรรพพลางมองจ้องไปที่ใบหน้าขาวที่เปื้อนคราบน้ำตา
มือหนาบรรจงเช็ดมันออกให้อย่างแผ่วเบาก่อนจะถือวิสาสะบีบจมูกรั้นที่แดงเรื่อจากการร้องไห้ไปทีหนึ่งด้วยความหมั่นไส้
นี่ถ้าเขาไม่ออกมาตาม ป่านนี้เจ้าบื้อนี่ก็คงจะยังนั่งอยู่ที่เดิมอย่างนั้นสินะ
บ่ายวันต่อมา
หลังจากส่งน้ำแข็งเสร็จป๊าก็ปล่อยให้ไปเที่ยวเล่นได้ตามประสาเด็ก และด้วยความที่เป็นช่วงปิดเทอม
กิจกรรมที่ทำจึงไม่มีอะไรมากนักนอกจากยิงนกแบบที่เขาชอบทำ หรือไม่ก็ตกปลา
หรือไม่ก็ไปสนามเด็กเล่น แต่วันนี้มันมีอะไรมากกว่านั้น
เพราะที่ท้ายหมู่บ้านมีงานประจำปีในตอนกลางคืนน่ะสิ
“ไปด้วย “
และในระหว่างที่เจ้าตัวกำลังแอบทุบกระปุกออมสินแล้วโกยเศษเหรียญใส่ในกระเป๋ากางเกงอยู่นั้นเอง
เสียงเล็กดังขึ้น หันไปก็เห็นเซฮุนกำลังยืนทำตาแป๋วอยู่ข้างหลัง
มือน้อยเขย่าชายเสื้อของพี่จงอินอย่างอ้อนๆ เขาหวังว่าจะได้ไปเที่ยวกับจงอินด้วย
“ไม่ได้
มันเย็นแล้ว ยังเด็กไปไม่ได้ “
จงอินตอบ
เดินลงบันไดไปอย่างไม่สนใจ ถึงอย่างนั้นเจ้าเด็กงี่เง่าโอเซฮุนก็ยังเดินตามมาอย่างไม่ลดละ
เด็กชายผิวเข้มขึ้นคร่อมจักรยานแล้วหันไปมองดุๆใส่คนที่ยืนขวางทางเขาอยู่
เซฮุนในชุดเอี๊ยมกับเสื้อยืดสีเหลืองน่ารักกำลังมองเขาตาแป๋ว
ในมือถือนมเมล่อนขวดเล็กไว้แน่น
“หลบไป”
“ถ้าพี่จงอินให้น้องเซไปด้วย
น้องเซจะให้นมเมล่อนเลยนะ “
“ไม่อยากกิน
โตละ หลบไป” จงอินถอนหายใจ
เหล่มองนมเมล่อนสีเขียวอ่อนในมือเด็กชายแล้วทำท่าจะปั่นจักรยานออกไปอีกทาง
เซฮุนก็เดินมาขวางอีก
“แต่น้องเซอยากไปด้วย”
“ไปไม่ได้
เย็นแล้ว “
“ก็ไปกับพี่จงอินไม่เป็นไรหรอก
“
“ไม่ได้”
จงอินตอบ ยังคงยืนยันคำเดิม
“นะ
ให้น้องเซไปด้วย น้องเซสัญญาจะไม่ดื้อไม่ซน น้องเซจะเบ่งนมให้พี่จงอินกินด้วย“
เซฮุนเม้มปาก เขาอยากไปด้วยจริงๆนะ
“ยังไงก็ไม่ได้ “
“แต่ว่า .. ฮึก
“
โว้ยยยยยยยยยยยยย
เขาล่ะอยากจะบ้าตาย เซฮุนเริ่มเบะปากร้องไห้อีกแล้ว ให้ตายสิ
ไอ้เด็กนี่ใช้น้ำตาในการต่อรองทุกที แล้วเขาก็ยอมไปซะทุกครั้งเลยซะด้วยสิ
จงอินจอดจักรยานไว้ตรงริมฟุตบาทก่อนจะจูงคนตัวเล็กกว่าเดินเข้าไปในงานที่เริ่มจะคึกคัก
ฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้มแล้ว แสงไฟจากทุกซุ้มถูกเปิดขึ้นให้ดูสวยงามละลานตาไปหมด
“พี่จงอิน
เค้าอยากเล่นอันนั้น “
“พี่จงอิน
เค้าอยากกินอันนี้ “
“พี่จงอิน .. “
“พี่จงอินครับ
.. “
พี่จงอิน
..พี่จงอิน และอีกหลายๆคำว่าพี่จงอินที่ถูกพร่ำเรียกออกมาจากริมฝีปากสีชมพูสด
จงอินถอนหายใจแล้วเดินตามเจ้าตัวเล็กต้อยๆ
เหรียญในกระเป๋าเริ่มจะร่อยหรอลงไปซะทุกที สองมือถือของพะรุงพะรังเต็มไปหมด
“ถือหน่อย
น้องเซไม่อยากกินแล้ว “
ไอติมโคนที่เริ่มจะละลายแล้วถูกยัดใส่มือของจงอินในขณะที่เดินเข้าไปในซุ้มช้อนปลา
ด้วยความที่บ้านก็ไม่ได้มีฐานะร่ำรวยนักจึงจำต้องกินมันเข้าไปด้วยความเสียดาย ริมฝีปากหยักงับเอาโคนไอติมนั้นแล้วเดินตามอีกคนเข้าไปในซุ้ม
ถึงแม้จะเปื้อนน้ำลายน้องก็ไม่เป็นไรหรอก เขาไม่ถือ
“เดี๋ยวเซฮุน
แวะซุ้มนี้ก่อน “
เอ่ยเรียกเจ้าตัวเล็กที่เดินเตาะแตะไม่กลัวหลง
ก่อนจะเหนี่ยวคอเสื้อเซฮุนให้มายืนใกล้ๆ คนเริ่มเยอะขึ้นจนแทบจะเดินเบียดกัน
จงอินล้วงเศษเหรียญขึ้นมาจ่ายค่าเกมส์ปาลูกโป่ง แลบเลียริมฝีปากตัวเองอย่างชั่งใจ
มองขึ้นไปบนชั้นของรางวัล เห็นรถบังคับคันใหญ่ที่เขาอยากได้ เขาจะต้องสอยมันมาให้ได้เลย
“โว้ะแม่ง
เอาไปเหอะ ให้“
แต่แล้วก็พลาด
ของรางวัลที่ได้มากลับไม่ใช่รถแข่งคันโก้แบบที่เขาหวังเอาไว้ สิ่งที่ได้มานั้นกลับเป็นตุ้กตาบาร์บี้แบบที่เด็กผู้หญิงชอบเล่นกัน
จงอินโยนมันให้เซฮุนแล้วเดินออกไปซุ้มอื่น .. ไร้สาระสิ้นดี
“พี่จงอิน
กลับบ้านได้ไหม น้องเซไม่ชอบพลุ “
ดึงชายเสื้ออีกคนไว้เมื่อทั้งคู่กำลังจะเดินเข้าไปในกลุ่มคนที่กำลังเล่นพลุและไฟเย็นกันอยู่อย่างสนุกสนาน
เจ้าตัวเล็กดูจะกล้าๆกลัวๆ มือน้อยถือตุ้กตาที่เพิ่งได้มากจากซุ้มลูกโป่งไว้แน่น
“ไหนบอกจะไม่งี่เง่าไง
อยากกลับก็เดินกลับไปเลยไป “
“แต่น้องเซกลับไม่เป็นนี่
“
ริมฝีปากเล็กยู่ลงพลางก้มหน้า
ฟ้าก็มืดแล้วด้วย เด็กชายตัวเล็กเดินไปข้างหน้าด้วยแรงฉุดจากจงอิน จนกระทั่งทั้งคู่ไปยืนอยู่ตรงกลางลานนั้น
ผู้คนเริ่มมายืนออกันเพื่อรอดูพลุหลากสีในยามค่ำคืน
“วิ๊ดดดด ปัง!! “
เสียงพลุนัดแรกดังขึ้น
ดอกไม้ไฟสีแดงถูกยิงขึ้นสู่ด้านบน จงอินเงยหน้ามองมันก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา
ผืนฟ้าในยามราตรีที่มีสีสันของพลุหลากสีคอยแต่งแต้มนั้นมันสวยมากจริงๆ
แต่แล้วในระหว่างที่เขากำลังเพลิดเพลินอยู่นั้น กลับมีใครอีกคนที่กลัวจนตัวสั่น
เซฮุนยืนก้มหน้า เบียดตัวชิดกับจงอินจนแทบจะหลอมรวมเป็นร่างเดียว
มือน้อยกำชายเสื้ออีกคนไว้แน่นพลางเม้มปาก เขาพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ร้องไห้
ถึงแม้เสียงพลุจะทำให้เขาตกใจจนสะดุ้งขวัญผวาก็ตาม
“กลัวหรอ “
“... “
ส่ายหัวเป็นพัลวันเพราะกลัวจะโดนไล่กลับบ้านอีกรอบ
จงอินหลุดหัวเราะออกมาก่อนจะรั้งเอวอีกคนเข้ามาชิดแล้วกดหัวเล็กให้ซุกอยู่กับอกของตัวเอง
เซฮุนเริ่มเรียนรู้ที่จะเข้มแข็งบ้างแล้ว แบบนี้สิค่อยน่ารักหน่อย
จงอินเงยหน้าขึ้นมองพลุบนฟ้าอีกรอบ สองมือช่วยปิดหูน้องไว้ เซฮุนค่อยๆหลับตาลงช้าๆ
ไม่ได้ยินอะไรอีกเลยนอกจากเสียงหัวใจของจงอิน
“เมื่อไหร่จะเลิกเล่นไอ้นี่สักที
เป็นลูกผู้ชายรึเปล่า “
จงอินแขวะ
เห็นเจ้าตุ้กตาบาร์บี้ในมือของเซฮุนแล้วรู้สึกหมั่นไส้อย่างบอกไม่ถูก
ตั้งแต่กลับมาจากงานประจำปีวันนั้นเซฮุนก็เอาแต่เล่นบาร์บี้ ทั้งคุยด้วยทั้งวัน
จับแต่งตัว แถมยังหวีผมให้อีก
ช่วงนี้มันคงจะฮิตมากเพราะเขาเห็นเด็กผู้หญิงแถวบ้านเล่นกันคนละตัวสองตัว
นี่ชักจะไม่แน่ใจแล้วว่าเจ้าเด็กบ้านี่เป็นตุ้ดตั้งแต่เด็กเลยรึเปล่า
“ตัวเองอิจฉาล่ะสิ! “
“ห้ามเล่น! เอาไปทิ้งซะ “
นอกจากจะไม่รู้ร้อนรู้หนาวแล้ว
เซฮุนยังเอาเจ้าตุ้กตาบาร์บี้ไปชี้หน้าจงอินอีกด้วย เด็กชายผิวเข้มเบือนหน้าหนี ปัดเจ้าตุ้กตาแต๋วแหววนั้นหล่นลงพื้น
ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นคนให้เซฮุนเองก็เหอะ ก็มันปัญญาอ่อนนี่
เด็กผู้ชายเขาไม่เล่นกันหรอก แถมคุณพ่อของเซฮุนยังเป็นถึงทหารนายพล
ถ้ารู้ว่าลูกชายเป็นตุ้ดเป็นแต๋วนี่ทั้งเขาและเซฮุนคงแย่แน่ๆ
“พี่จงอินนิสัยไม่ดี
ทำไมต้องทำร้ายมินยอด้วย! “
“มินยอ????
นี่ชื่อมันหรอ “
“ทำแมะ “
“อย่าเผลอละกัน
พี่เอามันไปทิ้งแน่”
จงอินชี้หน้าคาดโทษ
ทั้งของเล่นทั้งเจ้าของ ก่อนจะเดินออกจากรั้วบ้านของเซฮุนกลับไปบ้านตัวเอง
วันนี้ทั้งวันเขาต้องช่วยป๊าทำงานเพราะไม่มีคนงานอยู่เลยสักคน
จนถึงช่วงเย็น คงไม่มีใครมาสั่งน้ำแข็งแล้ว
จงอินถึงได้ฤกษ์พักสักที เด็กชายวาดขาขึ้นนั่งบนเบาะจักรยานคันเก่งแล้วตบๆดูที่กระเป๋ากางเกงให้แน่ใจว่าหนังกะติ้กยิงนกอันใหม่ที่นั่งทำเมื่อคืนนั้นอยู่ดีแล้ว
ก่อนจะออกแรงปั่น รู้สึกหนักๆเหมือนมีน้ำหนักมาเพิ่มที่เบาะหลัง
เซฮุนวิ่งมาซ้อนท้ายแล้วเกาะเอวจงอินเอาไว้แน่นอย่างถือวิสาสะ
“ลงไป “
“ไม่! “
“อย่ามาเอาแต่ใจนะเซฮุน
“
“ไม่ลง!”
เสียงใสแข็งกร้าว
มือหนึ่งเกาะเอวจงอินเอาไว้ ส่วนอีกมือก็ถือเจ้าบาร์บี้มินยอไว้แน่น
ริมฝีปากสีชมพูสดเชิดขึ้นอย่างท้าทาย
ใบหน้าหวานเงยขึ้นมองคนด้านหน้าพลางถลึงตาใส่อย่างน่ากลัว แต่ในความคิดของจงอิน
มันดูปัญญาอ่อนมากกว่า
“ได้
ไม่ลงพี่ลงเอง “
“ได้! งั้นพี่จงอินลงไปเลย น้องเซจะขี่จักรยานไป “
เดี๋ยวนี้ปีกกล้าขาแข็ง
รู้จักต่อล้อต่อเถียงมากขึ้นทุกวัน
จงอินสะบัดหน้าหนีแล้วรีบเดินจ้ำอ้าวออกไปในทันที เซฮุนไม่ยอมแพ้
เอาตุ้กตาบาร์บี้ตัวโปรดใส่กระเป๋าเป้สะพายหลังไว้แล้วออกแรงปั่นจักรยานตาม
ไม่เสียแรงที่ให้จงอินสอน
เพียงแค่อาทิตย์เดียวเขาก็สามารถปั่นจักรยานสองล้อได้แล้ว ความเข้มแข็งของเซฮุนพัฒนาขึ้นเยอะเลย
แต่ความเอาแต่ใจก็พัฒนาขึ้นเป็นเท่าทวีเหมือนกัน
“มาซ้อนน้องเซไหม
“
“... “
“มินยอ
พี่จงอินไม่ยอมพูดด้วยเลย “
จอดจักรยานไว้สักพักพลางล้วงเอาเจ้าบาร์บี้ตัวโปรดมาถือไว้ในมือแล้วออกแรงปั่นจักรยานตามจงอินต่อ
เสียงใสพูดเจื้อยแจ้วไปตลอดทางเพื่อเรียกร้องความสนใจจากเจ้าของผิวสีน้ำผึ้ง
แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่มีปฏิกิริยาตอบรับ
“อ๊ะ! “
จนกระทั่งพลาดท่าเสียหลักล้มลงจากจักรยาน
คนที่เดินนำก่อนไปนั้นกลับรีบวิ่งแจ้นกลับมาดูอย่างรวดเร็ว จงอินยกจักรยานที่ทับขาเซฮุนออกแล้วยกข้อขาเล็กขึ้นดู
และถึงแม้จะไม่มีแผล แต่ริมฝีปากหยักบรรจงเป่าบนรอยแดงนั้นให้แผ่วเบา
เสียงทุ้มคอยปลอบประโลมอย่างอบอุ่น เซฮุนเม้มปากแน่น
เขาน่าจะแกล้งจักรยานล้มตั้งแต่แรก
จนสุดท้ายเด็กชายตัวแสบก็ได้กลับมานั่งซ้อนท้ายจักรยานอีกครั้ง
ใบหน้าหวานถือวิสาสะซบลงบนแผ่นหลังของอีกคน
จงอินถอนหายใจแล้วก้มหน้าก้มตาปั่นจักรยานต่อไป
นึกรำคาญเสียงเซฮุนที่กำลังคุยงุ้งงิ้งๆอยู่กับเจ้าตุ้กตาบาร์บี้นั้นตลอดทาง
ถึงสนามเด็กเล่นก็มีเวลาไม่มากเพราะมันเริ่มจะมืดแล้ว
จงอินปลีกตัวออกไปยิงนกเล่นตามต้นไม้โดยให้เซฮุนนั่งเล่นอยู่ในบ้านจำลองขนาดเล็ก
จนกระทั่งเซฮุนเผลอ เด็กชายผิวเข้มรีบเดินอ้อมไปที่หน้าต่างของบ้านจำลองอีกฝั่ง
หยิบเอาเจ้าตุ้กตาบาร์บี้ปัญญาอ่อนนั้นไปซ่อน
เด็กชายจัดการขุดหลุมฝังแบบไม่ให้ผุดไม่ให้เกิด
“เฮ้อ
เสร็จสักที “
กว่าจะกลบหลุมเสร็จฟ้าก็มืด
จงอินยืดตัวขึ้นเต็มความสูงก่อนจะเช็ดมือที่เปื้อนฝุ่นดินนั้นกับกางเกงของตัวเอง
ยกแขนเสื้อเช็ดเหงื่อที่หน้าผากอย่างลวกๆ เดินจ้ำอ้าวไปหาเซฮุนที่อยู่ในบ้านจำลอง
เด็กชายตัวเล็กกำลังเพลิดเพลินกับการยิงหนังกะติ้กอันเก่าอีกอันของจงอิน
ในเมื่อจงอินอุตส่าห์สอนมีหรือเขาจะไม่สนใจ
มือน้อยเหนี่ยวเอาหนังยางเส้นหนาเข้ากับหินก้อนเล็กแล้วเล็งยิงออกไป
ถึงแม้มันจะไม่เคยตรงเป้า แต่เซฮุนรู้สึกสนุกอย่างบอกไม่ถูก
“ปะ กลับบ้านกัน
“
อมยิ้มอย่างสะใจ
ก่อนจะปั้นหน้านิ่งๆเดินไปหาเซฮุน จนตอนนี้เจ้าตัวก็ยังไม่รู้ตัว
มือน้อยถูกฉวยไปจับไว้แล้วพาไปที่จักรยาน ก่อนจะปั่นกลับบ้าน
เซฮุนเหนื่อยจนหลับคาแผ่นหลังของจงอินอีกแล้ว
“พี่จงอิน เห็นมินยอของน้องเซไหม
“
อาบน้ำออกมาก็เจอเจ้าตัวเล็กดักอยู่ที่หน้าประตู
ดวงตากลมโตฉายแววเศร้าอย่างบอกไม่ถูก
ม่านใสที่รื้นน้ำนั้นทำให้รู้ได้ว่าเซฮุนใกล้จะร้องไห้อยู่รอมร่อ
ริมฝีปากเล็กเม้มแน่น พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ร้องไห้ จงอินยักไหล่ปั้นหน้านิ่ง
“ไม่เห็นนะ”
“... “
เจ้าตัวเล็กไม่ตอบ
เดินกอดกระเป๋าคอตกไปนั่งอยู่บนที่นอนเงียบๆคนเดียว
จงอินส่ายหัวก่อนจะเดินเอาผ้าเช็ดตัวไปตาก ยังดีวันนี้เซฮุนไม่ต้องนอนกับเขา
เดี๋ยวสักสองสามทุ่มคุณน้าก็จะกลับมาจากเข้ากะแล้ว ถึงตอนนี้ก็ให้เซฮุนอยู่นี่ไปก่อนจนกว่าคุณน้าจะมารับ
เขาจะได้หลับพักผ่อนได้อย่างสบายสักที
“เป็นอะไรอีกล่ะ
“
ทิ้งตัวลงนั่งที่พื้นแล้วเอ่ยถาม
เปิดทีวีเชื่อมกับเกมเพลย์แล้วนั่งเล่นเงียบๆเพื่อรอคำตอบ
แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่มีคำตอบจากเจ้าเด็กเอาแต่ใจช่างพูดเหมือนทุกๆครั้งที่ผ่านมา
“ไม่เป็นไรหรอกน่าแค่ตุ้กตา
สงสัยหล่นหาย มาเล่นเกมกันดีกว่ามา “
นึกสงสารเมื่อเห็นเจ้าตัวแสบซึมไปเลย
จงอินตบพื้นที่นั่งข้างๆให้อีกคนลงมานั่ง เซฮุนปีนลงจากเตียงไปนั่งข้างๆแต่โดยดี จงอินหันไปมองอีกคนเพียงแปปเดียวก็หันกลับมาสนใจเกมเพลย์ของตัวเองต่อ
“น้องเซว่า จะออกไปตามหามินยอหน่อย ได้ไหม “
“ไม่ได้
มืดแล้ว“
ตอบกลับไปทั้งๆที่ไม่ได้หันไปมองหน้าด้วยซ้ำ
เซฮุนยังคงไม่ล้มเลิกความตั้งใจ เจ้าตัวแสบลุกขึ้นยืนกลางพื้นห้อง
ถึงยังไงเขาก็จะขอออกไปหาด้วยตัวเอง
“ไม่เป็นไรหรอก
น้องเซไปหาแปปเดียว “ พูดเสียงเบาอย่างต่อรอง จนจงอินทนไม่ไหว
วางจอยเกมส์ลงกับพื้นแล้วหันมาจ้องหน้า เจ้าตัวแสบเริ่มจะเบะปากแล้ว
“บอกว่าไม่ได้ไง
กะอิแค่ตุ้กตา จะอะไรนักหนา เป็นตุ้ดรึไง!
“
“ ..
ทำไมต้องตวาดน้องเซด้วย ฮึก .. “
ร้องไห้ออกมาด้วยความกลัว
พี่จงอินดุแล้ว เซฮุนถอยหลังไปหนึ่งก้าวแล้วยืนก้มหน้างุดจนคางติดอก
ไหล่เล็กไหวน้อยๆด้วยแรงสะอื้น มือน้อยทั้งสองข้างยกขึ้นขยี้ตาหวังจะให้หยุดร้อง
เขาไม่ได้อยากอ่อนแอสักหน่อย
“เงียบ!
แล้วนั่งเฉยๆ อย่าทำตัวมีปัญหาให้มากนักได้ไหม“
“น้องเซจะออกไปหา
บางทีน้องเซอาจจะทำหล่นไว้.. “ เจ้าตัวแสบยังดื้อไม่ฟังคำ
“พี่เป็นคนเอาไปทิ้งเองอะ
ทีนี้เข้าใจรึยัง เลิกทำตัวเป็นตุ้ดเป็นแต๋วสักที “
“..พี่จงอินเอาบาร์บี้ของน้องเซไปทิ้งทำไม!! น้องเซเกลียดพี่จงอิน! น้องเซโกรธ .. ฮึก ”
เสียงเล็กตะโกนพร้อมกับสะอื้นไห้
มือน้อยยกขึ้นทุบที่ไหล่พี่ชายแรงๆแล้วออกแรงผลักจนจงอินล้มลงไปนอนแผ่กับพื้น
ก่อนจะวิ่งออกไปจากห้อง เด็กชายผิวเข้มเห็นดังนั้นจึงรีบวิ่งตามออกไป
ไม่สนใจเสียงโหวกเหวกโวยวายของป๊าที่ตะโกนไล่หลังมาเลยแม้แต่น้อย
จนไปถึงชั้นล่าง
จักรยานคันเก่งที่จอดไว้หน้าบ้านหายไปแล้ว เซฮุนก็หายไปด้วย
จงอินจิ๊ปากออกมาอย่างขัดใจก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปหยิบไฟฉายในบ้านแล้ววิ่งออกมาอีกครั้ง
ฝ่าเท้าเล็กซึ่งสวมรองเท้าแตะที่จะขาดแหล่ไม่ขาดแหล่วิ่งก้าวยาวๆให้ไวที่สุดเท่าที่จะทำได้
สาดส่องไฟฉายไปตามทางถนน ทางเปลี่ยวเสียจนน่ากลัว
แถมไฟจากเสาไฟฟ้าริมทางก็ไม่ค่อยสว่างเสียด้วยสิ
“เซฮุน!! “
วิ่งไปตะโกนเรียกน้องไปจนคอแหบแห้ง
ไม่รู้ว่าเซฮุนขี่รถไปทางไหนแล้ว แถมเจ้าตัวยังขี่จักรยานไม่ค่อยแข็งด้วย
แล้วตอนนี้ก็มืดแล้วซะด้วย ถ้าเซฮุนเป็นอะไรขึ้นมา คุณน้าต้องดุเขาแน่ๆเลย
จักรยานคันเก่งของพี่จงอินถูกจอดทิ้งไว้ที่ริมถนนข้างสนามเด็กเล่น
เซฮุนรีบวิ่งลงไปหาเจ้าบาร์บี้มินยอสุดรักของเขาในทันที
ม่านใสที่รื้นไปด้วยน้ำตากลอกไปมาอย่างสับสน
เขาไม่รู้ว่าพี่จงอินเอามินยอของเขาไปทิ้งไว้ที่ไหน แถมตรงนี้ก็มืดไปหมด
มีเพียงแค่แสงไฟสลัวจากเสาไฟฟ้าเพียงต้นเดียวเท่านั้น
เด็กชายตัวเล็กเดินวนไปรอบๆบ้านจำลอง สองมือก็ปาดน้ำตาร้องไห้ไปไม่หยุด
“มินยออยู่ไหน “
เอ่ยเรียกเจ้าตัวตุ้กตาของเขา
ถึงแม้ว่ามันจะไม่ออกมาตามที่เขาเรียกก็ตาม
แต่อย่างน้อยเสียงตัวเองเป็นเพียงอย่างเดียวที่จะอยู่เป็นเพื่อนเขาได้ในยามนี้
มืดเหลือเกิน เซฮุนกลัวจับใจ แต่เพราะเป็นห่วงมินยอมากกว่าเขาจึงต้องตามหาต่อไป เด็กชายตัวเล็กเม้มปากแน่น
เขาไม่กล้าที่จะออกจากบ้านด้วยซ้ำ แต่เพราะมินยอเป็นของสำคัญ ..
เป็นของสำคัญที่คนสำคัญของเขาให้มา
“ฮึก ..“
เซฮุนทรุดตัวลงนั่งกอดเข่าที่พื้นข้างๆชิงช้าเมื่อหาเจ้ามินยอเท่าไหร่ก็ไม่เจอ
กลัวจนไม่รู้จะทำยังไง แต่ถ้าเขาไม่หาก็ไม่มีใครมาหาให้
แม้แต่จงอินยังมองว่าเป็นเรื่องไร้สาระเลย อันที่จริงเขาไม่ได้ชอบบาร์บี้สักหน่อย
แล้วเขาก็ไม่ใช่ตุ้ดไม่ใช่แต๋วด้วย เขาอยากเล่นรถแข่ง อยากเล่นเครื่องบินบังคับ
เขามีของเล่นมากมายหลายอย่างจนนับไม่หวาดไม่ไหว แต่ที่เขารักมินยอมากๆนั่นก็เพราะพี่จงอินต่างหาก
“ .... “
แต่แล้วเสียงอะไรบางอย่างก็ดึงความสนใจให้ใบหน้าหวานเงยขึ้น
ฉับพลันที่เห็นภาพตรงหน้า ม่านใสเบิกกว้างในทันที
เจ้าหมาขนสีดำตัวใหญ่ยักษ์กำลังยืนขู่แยกเขี้ยวอยู่ตรงหน้าเขาห่างไปเพียงไม่กี่เมตร
มือน้อยวางลงกับพื้นทรายแล้วถัดตัวถอยหลังหนี ร่างเล็กสั่นเทาด้วยความกลัวจับใจ
“โฮ่ง! แฮ่ก! “
เสียงเจ้าหมาเห่าขู่อย่างบ้าคลั่งแล้วค่อยๆก้าวย่างเข้ามาหาทีละน้อย
ร่างเล็กสะอื้นฮักด้วยความกลัว มือน้อยกำเข้าหากันแน่นแล้วร้องให้คนช่วย
แต่ดึกขนาดนี้แล้วคงไม่มีใครได้ยิน บ้านทุกหลังปิดไฟกันเกือบหมด
เซฮุนกัดริมฝีปากแน่น เขาต้องเข้มแข็ง
คิดดังนั้นก็หยิบกิ่งไม้ที่พื้นข้างๆขึ้นแล้วปาออกไป
“ตุ้บ! “
เหมือนจะเรียกความสนใจจากเจ้าหมานั้นได้บ้างเมื่อเจ้าของคมเขี้ยวนั้นหันกลับมองกิ่งไม้ที่ถูกขว้างออกไป
แต่เป็นโชคร้ายของเซฮุนเหลือเกินที่เจ้าหมาตัวใหญ่นั้นไม่ได้สนใจอะไรไปมากกว่านั้น
อุ้งเท้าใหญ่ของเจ้าตัวยักษ์วางปุลงบนพื้นทรายช้าๆพลางแยกเขี้ยวจนน้ำลายยืด
เสียงขู่คำรามในลำคอทำเอาเด็กชายตัวน้อยขวัญผวา
“เอ๋ง!! “
และในจังหวะที่เจ้าตัวปุกปุยเตรียมจะกระโจนเข้าใส่นั้นเอง
เซฮุนเอามือปิดหน้าแล้วหลับตาปี๋ ไม่ทันได้เห็นลูกหินก้อนเล็กที่ถูกยิงจากหนังกะติ้กของใครคนหนึ่งซึ่งกระแทกเข้าที่เบ้าตาของมันอย่างจัง
เจ้าหมาตัวใหญ่ร้องลั่นแล้ววิ่งหนีไปในทันที
“ฮึก .. ฮือ “
“ไม่เป็นไรนะครับ พี่อยู่นี่แล้ว ไม่ร้องไห้นะคนดี “
เข้าไปกอดปลอบเซฮุนที่สะอื้นหนักจนตัวโยน
ไหล่บางสั่นผวาด้วยความกลัวที่ยังคั่งค้าง
จงอินย่อตัวลงนั่งที่พื้นแล้วดึงอีกคนเข้ามากอดพลางลูบหัวเบาๆเป็นเชิงปลอบขวัญ
เสียงทุ้มนุ่มที่คุ้นเคยบรรจงกระซิบแผ่วเบาที่ข้างหู
สุดท้ายก็ไม่ได้มินยอคืน
เซฮุนกอดเอวจงอินไว้แน่นในขณะที่ซ้อนท้ายจักรยานกลับบ้าน เด็กชายยังคงสะอื้นเพราะความกลัวยังไม่จางหาย
หยาดน้ำตาไหลออกจากดวงตากลมโตที่บวมช้ำทั้งสองข้าง ริมฝีปากที่เบะคว่ำนั้นสั่นน้อยๆ
เขาพยายามแล้วที่จะไม่ร้องไห้ แต่ก็ทำไม่ได้
พอมาถึงบ้าน
รถของคุณแม่ของเซฮุนก็เลื่อนมาจอดที่หน้าบ้านพอดี
จงอินจอดจักรยานแล้วพาน้องเดินไปหาคุณน้า เอ่ยปากขอโทษที่พาน้องไปเล่นดึกๆ
เจ้าตัวแสบกอดขาคุณแม่แล้วร้องไห้ออกมาอย่างหนัก จงอินก้มหน้ายอมรับ
โดนคุณน้าดุเข้าให้แล้ว แถมป๊ายังออกมายืนรออยู่หน้าบ้านพร้อมกับไม้เรียวอันยาว
เขาโดนแน่ๆ
“อย่าร้องไห้ เข้าบ้านซะ “
เอ่ยบอกเซฮุนที่ยังยืนร้องไห้อยู่อย่างนั้นในระหว่างที่รอคุณแม่เอารถเข้าไปจอดในบ้าน
เด็กชายสะอื้นหนัก น่าสงสารจับใจ จงอินยืนก้มหน้าอย่างทำใจ
เขาผิดเองที่แกล้งน้องตั้งแต่แรก
มือหนายกขึ้นขยี้หัวเจ้าตัวแสบเบาๆแล้วจับอีกคนหันหลัง
ออกแรงดันเด็กชายตัวขาวให้เข้าไปในบ้าน
“ฮือ
..พี่จงอินจะโดนปะป๊าตีไหม “
“เข้าบ้านไป
ดึกแล้ว “
จงอินไม่ตอบคำ ออกแรงผลักอีกรอบจนเซฮุนต้องยอมเดินเข้าไปในรั้วบ้าน
คุณแม่เดินมาอุ้มเข้าขึ้นก่อนจะพาเดินเข้าไปในบ้าน
ประตูบานใหญ่ถูกปิดพร้อมกับแผ่นหลังของจงอินที่กำลังเดินกลับเข้าบ้านไปให้ป๊าสำเร็จโทษอย่างจำยอม
ทันทีที่เดินไปหน้าบ้าน
ข้อแขนเล็กของเด็กชายถูกกระชากเข้าไปหา ไม้เรียวอันยาวถูกฟาดลงตามร่างกายอย่างแรงไม่มียั้ง
จงอินขบกรามแน่น ไม่ร้องออกมาซักแอะ กอดอกก้มหน้ารับแรงฟาดจากไม้และคำด่าทอสารพัดจากผู้เป็นพ่อ
เขาชินซะแล้ว ถึงแม้การลงโทษครั้งนี้มันจะแรงกว่าเดิมไปมากก็ตาม
..เป็นลูกผู้ชายต้องอดทน แม่บอกอย่างนั้น
จนความโมโหทุเลาลงแล้ว
ไม้เรียวอันยาวถูกโยนทิ้งไว้ที่พื้นก่อนที่ผู้เป็นพ่อจะเดินเข้าไปในบ้าน
คล้อยหลังป๊าไป จงอินซิ้ดปากพลางกุมหลังและก้นของตัวเองด้วยความเจ็บ
ไม่รู้ว่าเลือดออกรึเปล่า แต่รู้สึกเจ็บแสบจนต้องร้องไห้ออกมา
ผ่านไปหลายนาที
จนเขาร้องไห้จนพอใจแล้ว แขนเสื้อถูกยกขึ้นมาเช็ดน้ำตาลวกๆ
พอดีกับที่เห็นแสงไฟจากบานหน้าต่างที่ห้องของเซฮุน
เงาของน้องปรากฏให้เห็นที่ริมหน้าต่างเพียงครู่ ก่อนที่แสงนั้นจะดับไป
จงอินเดินกลับไปที่จักรยานอีกครั้ง วาดขาขึ้นคร่อมก่อนจะรีบปั่นออกไป ..
ถึงจะรู้ว่าถ้ากลับมาจะโดนป๊าตีอีกรอบเขาก็ยอม
จักรยานคันเก่งที่รักนักรักหนาบัดนี้โดนจอดทิ้งอย่างไม่ใส่ใจ
เด็กชายรีบวิ่งไปที่กระบะทรายทันที
มือเล็กล้วงเอาไฟฉายขึ้นมาส่องมองหารอยหลุมที่เขาเป็นคนฝังเจ้าตุ้กตามินยอของเซฮุนไว้
ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างท้อแท้เมื่อหาไม่พบ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ยอมแพ้
เด็กชายก้าวผละออกมาจากกระบะทราย ถอดเสื้อพาดไว้กับราวชิงช้า
ก่อนจะคาบเจ้ากระบอกไฟฉายอันเล็กไว้ในปากแล้วเดินกลับเข้าไปในกระบะทรายอีกครั้ง
ทรุดตัวนั่งลงมือขุดหาอย่างตั้งใจ
เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้
หยาดเหงื่อเม็ดเล็กหยดลงบนกองทราย สองมือและตามเนื้อตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยเม็ดทรายเต็มไปหมด
จงอินแทบจะร้องออกมาด้วยความดีใจเมื่อเจอเจ้าตุ้กตามินยอที่เขาฝังไว้เมื่อเย็น
เด็กชายรีบนำไปล้างที่ก๊อกข้างสไลเดอร์
ก่อนจะใช้เสื้อสะอาดๆของตัวเองเช็ดมันจนแห้งแล้วเอาใส่กระเป๋าไว้
รีบขี่จักรยานกลับไปที่บ้านของเซฮุนทันที
“ออดๆๆๆๆๆๆๆๆ”
กดออดรัวๆอย่างเสียนิสัย
จงอินเท้ามือไว้กับเข่าพลางหอบหายใจด้วยความเหนื่อย มือหนาถือตุ้กตามินยอไว้แน่น
รู้สึกตื่นเต้นจนใจแทบจะหลุดออกมาจากอก ถ้าน้องเห็นจะต้องดีใจมากแน่ๆเลย
“ออดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
“
กดกริ่งอีกอย่างไม่ยอมแพ้เมื่อไม่เห็นใครมาเปิดประตูให้
จนกระทั่งเวลาผ่านไปสักพัก คุณน้าก็เดินออกมาเปิดประตู
จงอินยิ้มดีใจก่อนจะขอขึ้นไปหาเซฮุนข้างบน แต่ก็โดนคุณน้าดุเข้าให้
“นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้วจงอิน
น้องหลับไปตั้งนานแล้ว “
“นะครับคุณน้า
ผมขอร้อง “
ไม่รู้ว่าใช้ไม้ไหนคุณน้าถึงยอมให้ขึ้นไปข้างบนได้
จงอินรีบวิ่งขึ้นไปทันทีที่ได้รับอนุญาต ประตูห้องของเซฮุนถูกเปิดออกแผ่วเบา
จงอินเปิดไฟแล้วค่อยๆเดินเข้าไปเงียบๆ แต่ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าเซฮุนยังไม่นอน
เด็กชายตัวเล็กยังคงนั่งร้องไห้อยู่ริมหน้าต่าง
“เด็กขี้แย
ร้องไห้อยู่ได้“
“พี่จงอิน!! ฮึก..“
“เฮ้ยอย่าๆ “
รีบยกมือห้ามแล้วก้าวถอยหลังเมื่อเจ้าตัวเล็กโดดลงจากขอบหน้าต่างเตรียมจะพุ่งเข้ามากอดเขา
ด้วยเนื้อตัวที่เปรอะเปื้อนไปด้วยทรายนั้นไม่สามารถจะให้เซฮุนกอดได้
มือเล็กชูเจ้าตุ้กตามินยอที่ซ่อนไว้ข้างหลังขึ้นมาให้คนตรงหน้าดู ม่านใสเบิกกว้าง
เซฮุนยิ้มจนตาหยีเลย
“มินยอ! “
“เฮ้ย!”
จะห้ามก็ไม่ทันแล้ว
เซฮุนโผเข้ากอดเขาเต็มๆ ใบหน้าน่ารักซุกอยู่ที่อกของเขา จงอินถอนหายใจ
ยังดีที่เสื้อไม่เปื้อนทราย เจ้าตัวแสบร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจ จงอินคลี่ยิ้ม
ยกมือขึ้นลูบหัวอีกคนเบาๆอย่างปลอบประโลม
“เอามินยอมาคืนแล้ว
น้องเซไม่โกรธพี่นะครับ “
“น้องเซไม่โกรธ
น้องเซไม่เกลียดพี่จงอิน ฮึก .. “
“ชู่ว ..
ตอนนี้ออกไปก่อน ตัวพี่เลอะ เดี๋ยวคุณอุลตร้าแมนจะเลอะนะครับ “
ยื้อตัวออกจากอ้อมกอดของน้องเพราะกลัวว่าเซฮุนที่อาบน้ำหอมฉุยในชุดนอนลายอุลตร้าแมนแล้วจะสกปรกไปด้วย
เซฮุนยอมปล่อยกอดแต่โดยดี
มือน้อยยื่นไปรับบาร์บี้มินยอจากพี่จงอินแล้วเอามากอดไว้แนบอกด้วยความดีใจ
“แต่มินยอเลอะ
น้องเซต้องพามินยอไปอาบน้ำก่อนนะครับ“
“พี่จงอินเจ็บไหม
น้องเซขอโทษ “
ถอยหลังออกมาถึงได้เห็นเนื้อตัวอีกคนชัดๆ
จงอินตัวเปื้อนทรายเต็มไปหมด แถมตามแขนและขาก็มีรอยไม้เรียวอยู่ทั่ว เซฮุนเห็นก็ทำท่าจะร้องไห้อีกรอบ
จงอินเห็นก็เลยส่ายหัวพลางทำท่าเบ่งกล้ามให้น้องดูว่าตัวเองยังสบายมาก
ก่อนจะหัวเราะออกมาในท่าทางตลกของตัวเอง เจ้าตัวแสบอมยิ้ม หัวเราะตาม
จนกระทั่งคุณแม่ของเซฮุนเข้ามา
เด็กชายทั้งสองก้มหน้า คงหมดเวลาสำหรับวันนี้แล้ว
แต่ดูเหมือนจะเป็นโชคดีของทั้งคู่ที่คุณน้าคุยกับปะป๊าของจงอินแล้วให้จงอินนอนมันซะที่นี่
ไหนๆก็ดึกแล้ว เด็กชายเอ่ยขอโทษและขอบคุณอีกรอบก่อนจะรับชุดนอนมาจากคุณน้าแล้วเข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำ
จนกระทั่งอาบน้ำเสร็จ
จงอินยืนมองตัวเองในกระจก ชุดนอนลายทางสีน้ำเงินเข้มขนาดพอดีตัวทำให้เขาดูหล่อขึ้นมากเลยทีเดียว
เด็กชายผิวเข้มหมุนตัวไปมาอยู่หน้ากระจก เขาไม่เคยใส่ชุดนอนมาก่อนเลย
เห็นทีจะต้องไปซื้อมาใส่สักชุดสองชุดซะแล้วสิ
ด้วยความที่เซฮุนต้องนอนคนเดียวในห้องของตัวเองอยู่แล้ว
วันนี้เจ้าตัวจึงดีใจเป็นพิเศษที่จะมีเพื่อนมานอนที่ห้องด้วย
เด็กชายจัดที่นอนบนเตียงของตัวเองอย่างตั้งใจในระหว่างที่รอจงอินอาบน้ำ
ตุ้กตาหลายตัวถูกนำมาวางเรียงไว้บนหัวเตียงและรอบๆเตียงเต็มไปหมด
ก่อนจะปีนขึ้นไปนั่งบนเตียง เว้นที่ครึ่งนึงไว้ให้พี่จงอิน
“เฮ้ย
อะไรวะเนี่ย “
เปิดประตูห้องน้ำออกมาก็แทบจะหงายหลังล้มลงไป
สภาพเตียงที่เหมือนเตียงเด็กผู้หญิงนั้นทำให้เขารู้สึกกระดากไม่น้อยที่จะขึ้นไปนอน
จงอินจัดการกวาดเจ้าตุ้กตาเกะกะนั้นลงจากเตียงไปให้หมดแล้วขึ้นไปนอนด้วยความเหนื่อยล้า
สองแขนแผ่กว้างบนฟูกเตียง เตียงนอนบ้านเซฮุนนี่นุ่มสบายมากจริงๆ
“พี่จงอิน “
“ไร “
เกือบจะหลับไปอยู่แล้วถ้าไม่ติดว่าเสียงเล็กๆนั่นเอ่ยเรียกชื่อเขาขึ้นมาเสียก่อน
ทั้งจงอินและเซฮุนนอนหงายมองเพดานที่เต็มไปด้วยดาวเรืองแสงที่คุณพ่อของเซฮุนเป็นคนติดไว้ให้
มองไปมองมาก็เพลินตาดีเหมือนกันนะ
“อยากรู้ไหมทำไมน้องเซถึงรักมินยอมากๆ
“
“อือ “ จะบอกว่าไม่อยากรู้ก็กลัวเจ้าตัวแสบจะร้องไห้อีก
วันนี้เขาเหนื่อยมากจริงๆ คงปลอบเซฮุนไม่ไหวแล้ว
“เพราะว่าพี่จงอินให้มินยอน้องเซ
น้องเซรักพี่จงอินมากๆ ถึงพี่จงอินจะเกเรน้องเซก็รัก“
“เออ นอนซะ “
ยีหัวเจ้าตัวเล็กที่อุตส่าห์ยืดตัวลุกขึ้นมามองหน้าเขาด้วยความเอ็นดูไปหนึ่งที
ก่อนจะใช้สองมือรองท้ายทอยตัวเองไว้แล้วหลับตาลง
เปลือกตาสีมุกสั่นไหวน้อยๆเมื่อรู้สึกได้ถึงสัมผัสนุ่มนิ่มจากริมฝีปากเล็กที่ข้างแก้ม
.. เซฮุนจุ้บแก้มเขา
“ชัลจาโยนะฮะพี่จงอิน “
“ฝันดีไอตัวแสบ”
“โอ้ย!
ตีจนมือเค้าจะแบนอยู่ละนะ “
“ก็ทำไมตัวเองไม่ตั้งใจอะ
แล้วแบบนี้เมื่อไหร่จะเขียนหนังสือได้เหมือนเพื่อนๆ ลายมือตัวเองเหมือนไก่เขี่ยเลย
“
กลายเป็นกิจวัตรประจำวันไปแล้วที่จะต้องมานั่งเถียงกันในทุกๆวัน
ชานยอลกับแบคฮยอนกำลังนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น เด็กชายตัวสูงหันไปค้อนขวับใส่อีกคนด้วยความไม่พอใจ
ตลอดหนึ่งชั่วโมงที่เจ้าเตี้ยเอาแต่นั่งมองและคอยตีมือเขาอยู่อย่างนี้ไม่หยุด
เด็กชายหยิบหนังสือคัดลายมือขึ้นมาฉีกจนขาดออกเป็นสองท่อนแล้วโยนทิ้งไป
หยิบนมขวดมาดูดแล้วเดินไปนอนดูทีวีอย่างสบายใจเฉิบอยู่ที่โซฟา
“เคยตัว! เพราะตัวเองนิสัยแบบนี้ไงถึงไม่มีเพื่อน! ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้นะ ไม่งั้นเค้าจะเอาเจี๊ยบไปเชือด! “
ชานยอลลุกขึ้นจากโซฟาแทบไม่ทันเมื่อยอดดวงใจของเขาถูกแบคฮยอนจับเป็นตัวประกันไว้แล้วเอาดินสอจ่อที่คอหอยซะ
เด็กชายตัวเล็กปีนขึ้นไปยืนบนเก้าอี้เพื่อเพิ่มความสูงให้ตัวเองอย่างวางอำนาจ
โยนหนังสือคัดลายมือเล่มใหม่ลงบนโต๊ะ ริมฝีปากเล็กเชิดขึ้นพลางออกคำสั่ง
“กลับมานั่งคัดเดี๋ยวนี้
ไม่งั้นเจี๊ยบ! ตาย! “
“ไอ้โหด ไอ้เตี้ยชั่ว! “
ทำได้แค่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างแค้นเคืองเพียงเท่านั้น
ชานยอลกลับไปนั่งที่โต๊ะตัวเล็กอย่างเดิมแล้วหยิบดินสอมานั่งคัดใหม่อย่างจำยอม
เพราะเจี๊ยบอยู่ในกำมือเจ้าเตี้ยโหดนั่นแท้ๆ
เด็กชายพยายามคัดลายมือสวยๆอย่างยากลำบาก รอก่อนนะเจี๊ยบ
พระเอกจะขี่ม้าขาวไปช่วยเดี๋ยวนี้แหละ
“ย้า! “
ขี่ม้าขาวมาช่วยจริงๆด้วย
เจ้าตุ้กตาม้าโพนี่ที่หม่ามี๊ซื้อมาถูกเด็กชายปาร์คขว้างมันใส่หัวของแบคฮยอนเต็มๆเมื่อเจ้าตัวเผลอ
ก่อนศึกชิงนางจะเริ่มขึ้น
ชานยอลได้โอกาสจึงรีบกระชากเจี๊ยบออกมาจากมือของแบคฮยอนแล้วกอดไว้แนบอกทันที
ริมฝีปากเล็กจุ้บเบาๆเป็นเชิงปลอบขวัญ เกือบไปแล้ว ไอ้เตี้ยวายร้ายแบคฮยอนเกือบฆ่าเจี๊ยบแล้ว
“อย่าให้เค้าใช้ไม้กายสิทธิ์นะ
ไม่งั้นตัวเองได้อ้วกเป็นทากแน่! “
เอาเจี๊ยบไปนอนที่โซฟาพลางห่มผ้าให้อย่างดี
เปลี่ยนช่องทีวีเป็นการ์ตูนให้เจี๊ยบดูก่อนจะหันไปจัดการเจ้าวายร้ายที่ยืนเท้าเอวอยู่บนเก้าอี้
ชานยอลเงยหน้า นิ้วเล็กๆชี้ไปที่เจ้าตัวหัวแหว่งพลางหัวเราะร่า
ตะเกียบที่ไปขโมยมาจากในห้องครัวถูกร่ายเป็นวงกลม ก่อนจะเสกคาถาใส่อีกคน
“บ้าปะเนี่ย “
ไม่ยักกะตายแฮะ
ไอ้เจ้าเตี้ยยังคงยืนเท้าเอวอยู่อย่างเดิม
ชานยอลเห็นดังนั้นจึงทิ้งไม้กายสิทธิ์แล้วกระโจนเข้าใส่อีกคนเต็มๆ ด้วยความที่แบคฮยอนตัวเล็กกว่ามากจึงหงายหลังล้มลงไปทั้งคู่
ยังดีที่ด้านหลังเป็นเบาะปูรองเอาไว้
“เสร็จ! “
ชานยอลขึ้นคร่อมคนตัวเล็กกว่าเอาไว้แล้วฟัดเหมือนหมาฟัดของเล่นยังไงอย่างงั้น
ปลายจมูกโด่งคมกดลงบนซอกคอขาวและแก้มใสหลายๆรอบจนแบคฮยอนต้องดิ้นพล่านพลางหัวเราะออกมาอย่างจั้กจี้
ไม่ว่าเปล่า ..
ชานยอลจัดการจับเอวเล็กของเพื่อนสนิทไว้แล้วฟัดแก้มของแบคฮยอนเสียจนหนำใจ
“บัสไลท์เยียร์เรียกสตาร์คอมมาน
ขณะนี้เจ้าแรดวายร้ายสิ้นฤทธิ์แล้ว เอาปอเต้กตึ้งมาเก็บศพมันด่วน “
คุยกับนาฬิกาข้อมือของตัวเองเมื่อเห็นเจ้าเตี้ยแบคฮยอนนอนหัวเราะจนหมดแรงอยู่ใต้ร่าง
พูดจบก็หันไปจัดการกับไอ้ตัวเล็กต่อ ชานยอลรวบข้อมือเล็กทั้งสองข้างไว้แล้วก้มลงไปกัดที่ไหล่ของแบคฮยอนอย่างแรงจนอีกคนร้องออกมา
“โอ้ย!
เค้าเจ็บนะ! เค้าจะฟ้องหม่ามี๊ “
เมื่ออิตัวหูกางเล่นแรงกับเขาก่อน
มีหรือแบคฮยอนจะยอม
วิชาฮับคิโดที่เขาเพิ่งไปเรียนมาเมื่อสัปดาห์ก่อนถูกงัดมาใช้ในทันที
ขาเล็กตวัดร่างของชานยอลให้ลงไปนอนแทนแล้วใช้สันมือสับเข้าให้ที่กลางหลัง
เด็กชายตัวสูงล้มลงไปนอนอย่างไม่เป็นท่า แบคฮยอนเห็นดังนั้นจึงขึ้นไปนั่งทับแล้วขย่มแรงๆจนชานยอลเริ่มจะจุก
“โอ้ยๆๆๆๆๆๆๆๆ
ยอมๆๆๆๆๆ โอ้ยยอมแล้ว ยอมแล้วๆๆๆ “
แขนทั้งสองข้างถูกดัดไพร่ไปข้างหลังจนเจ็บ
ชานยอลร้องลั่น ไอ้เจ้าเตี้ยวายร้ายมีพลังมากกว่าที่เขาคิดไว้ซะอีก แต่ยังไม่ทันไร
ฉับพลันที่หน้าจอทีวีฉายการ์ตูนเรื่องโปรดของพวกเขา การล้างแค้นก็เป็นอันโมฆะไป
เด็กชายทั้งสองรีบแย่งกันไปนั่งที่โซฟาหน้าทีวีแล้วนั่งนิ่งเหมือนมีใครไปสะกดไว้
ดวงตากลมโตทั้งสองคู่กระพริบปริบๆนั่งดูอย่างตั้งใจ
“เด็กๆ ของว่าง
“
เสียงหม่ามี๊ดึงความสนใจไปจากการ์ตูนเบนเทน
จานคุกกี้และนมสดสองแก้วถูกวางลงบนโต๊ะหน้าทีวี เจ้าตัวเล็กทั้งสองจึงรีบวิ่งไปเกาะโต๊ะด้วยความหิว
มือน้อยหยิบคุ้กกี้ชิ้นใหญ่คนละชิ้นสองชิ้น
ชานยอลวิ่งไปอุ้มเจี๊ยบมานั่งกินด้วยเหมือนทุกวัน
“หม่ามี๊
อิอ้วนมันกินคุกกี้หมดเลย! “
ตะโกนฟ้องทันทีที่เงยหน้าขึ้นมาเห็นแต่จานเปล่า
แบคฮยอนเบะปากพลางเรออัดหน้าเขาแล้วเดินหนีไป ชานยอลได้แต่สาปแช่งอยู่ในใจ ไอ้เตี้ยวายร้าย
สักวันเขาต้องปราบมันให้ได้เลยคอยดูดิ
รถเก๋งคันหรูจอดที่หน้าโรงเรียนในเช้าวันถัดมา
ปรากฏร่างของเด็กชายทั้งสองคนลงมาจากรถ
ชานยอลกับแบคฮยอนไปโรงเรียนด้วยกันเนื่องจากคุณพ่อของแบคฮยอนติดธุระที่ต่างจังหวัด
คุณแม่มองดูเด็กๆทั้งสองจูงมือกันเดินเข้าโรงเรียน ความสูงของทั้งคู่ต่างกันมากซะจนชานยอลดูเหมือนพี่ชายยังไงอย่างงั้น
คุณแม่อมยิ้ม เฝ้ามองจนคล้อยหลังไปแล้วจึงขับรถออกไป
เข้าแถวในตอนเช้าเป็นอะไรที่ทรมานพี่ปาร์คพระเอกของเราสุดๆ
เด็กชายยืนสับปะหงกในขณะที่เพื่อนๆกำลังร้องเพลงและเต้นออกกำลังกายในตอนเช้ากันอย่างร่าเริง
คาบเรียนวันแรกเป็นวิชาภาษาอังกฤษที่ชานยอลเกลียดแสนเกลียด แต่จะว่าไปแล้ว ชานยอลก็ไม่เคยชอบวิชาอะไรเลยนอกจากสปช
สร้างเสริมประสบการณ์ชีวิต
.. และแน่นอน ชานยอลเชื่อว่าคงไม่มีใครมากประสบการณ์ไปกว่าเขาอีกแล้ว
จนถึงเวลาพักกลางวัน
เมนูวันนี้เป็นผัดผักใส่กุ้งและไข่ตุ๋น แบคฮยอนที่นั่งข้างชานยอลหันไปมองคนข้างๆ
เด็กชายตัวสูงเดินถือถาดอาหารลุกออกไปหาคุณครูแล้ว
“เซ็ง “
สุดท้ายก็โดนไล่กลับมาเพราะกินไม่หมด
มีแต่ผักทั้งนั้นที่โดนเขี่ยไว้ข้างจาน
ถาดใบใหญ่ถูกวางกระแทกไว้บนโต๊ะอย่างเดิมแล้วหันไปค้อนเพื่อนตัวเตี้ยด้วยความพาล
แบคฮยอนเห็นดังนั้นก็รีบรูดซิปกระเป๋านักเรียนตัวเองทันที
เขาคงไม่ยอมให้โดนแกล้งอีกซ้ำสอง
“ทำไมไม่กิน
ผักอร่อยนะ “
“เค้าไม่ใช่ควาย
เค้าไม่กินผัก “
เด็กชายแบคฮยอนพองลมที่แก้ม
รู้สึกเหมือนโดนด่าว่าเป็นคุณควายยังไงอย่างงั้น
ชานยอลพูดเท่านั้นก่อนจะถือถาดอาหารเดินไปที่หลังห้อง
ในเมื่อคุณครูไม่ยอมให้เขาอิ่ม
เด็กชายจัดการเทผักลงบนกระถางต้นไม้ที่ชั้นหลังห้องพลางรดน้ำให้เสร็จสรรพ
อีกไม่กี่วันต้นบล็อกโคลี่ต้องขึ้นแน่ๆเลย เขาจะมารดน้ำให้ทุกๆวัน
กินข้าวกินขนมเสร็จก็ถึงเวลานอนกลางวัน
พี่ปาร์คระเห็จระเหินหนีไปที่กองของเล่นหลังห้องเพราะไม่อยากนอน
จนคุณครูต้องเอ่ยดุ แต่ชานยอลกลับแลบลิ้นใส่เสียอย่างนั้น
ความก้าวร้าวของเด็กชายยังมีให้เห็นบ่อยๆจนคุณครูเริ่มปวดหัว เธอจึงต้องใช้ไม้แข็ง
จนสุดท้ายพี่ปาร์คก็ยอมไปนอนแต่โดยดีเพราะคุณครูขู่ว่าถ้าไม่ยอมนอนจะเอาส้อมจิ้มตา
แต่ก็ยังไม่วายแอบเอาเจี๊ยบใส่กระเป๋ามาจากที่บ้านมานอนกอดด้วย
เหล่มองเจ้าเตี้ยวายร้ายเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของเขาที่ตอนนี้หนีไปนอนอยู่อีกฟากนึงของห้อง
เข็ดเหลือเกินกับทรงผมประหลาดที่โดนตัดไปเพราะหมากฝรั่งของชานยอล
ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ไว้ใจ เจ้าตัวเล็กนั่งกอดตุ้กตาหมีโบกมือหยอยๆให้อยู่ไกลๆ ชานยอลโบกมือตอบกลับแล้วส่งจูบไปให้
ก่อนจะล้มตัวลงนอนที่ฟูกเตียง
“อ้าวน้องเซฮุน
“
น่าตกใจที่คนที่นอนข้างๆนั้นมีใบหน้าที่คุ้นตาเหลือเกิน
เหมือนเคยเห็นที่ไหน พอเพ่งดูดีๆก็ถึงรู้
ไอ้เจ้าเด็กหน่อมแน้มที่มากะไอ้เคอิโงะวันนั้นน่ะเอง ไม่ยักรู้ว่าอยู่โรงเรียนเดียวกัน
แถมยังโลกกลมอยู่ห้องอนุบาลเดียวกันด้วย ไม่นึกเลยว่าเจ้านี่จะอายุเท่าๆกับแบคฮยอน
แต่ก็อย่างว่าละนะ พี่ปาร์คเป็นคนโรคส่วนตัวสูงซะอย่างนี้
หน้าเพื่อนในห้องยังจำไม่หมดเลยด้วยซ้ำ
สิ่งที่หัวใจดวงน้อยๆของเด็กชายพอจะจดจำได้ก็คงจะมีเพียง
หม่ามี๊ เจี๊ยบ แล้วก็แบคฮยอนเท่านั้นล่ะมั้ง
“ชัลจาโยน้า “
“อือ
นอนระวังหัวนะ บาย “
ชานยอลตอบ
พลิกตะแคงกลับไปอีกด้านหลบสายตาบ้องแบ๊วของไอเด็กตัวขาว
ตวัดแขนขากอดเจี๊ยบไว้แน่นแล้วข่มตาให้หลับ เขาควรจะหลับ
ไม่อย่างนั้นต้องโดนคุณครูเอาส้อมจิ้มตาแน่ๆเลย
“ฮ้าวววววววว”
พอถึงเวลาตื่นนอน
กลับเป็นเขาเองที่ไม่อยากจะตื่น ทั้งๆที่ตอนแรกไม่ได้อยากจะนอนเลยแม้แต่น้อย
ชานยอลลุกขึ้นเก็บฟูกไปกองรวมกับฟูกอันอื่นๆของเพื่อนๆแล้วพากันไปล้างหน้าล้างตา
เด็กๆยืนเข้าแถวแบมือเพื่อรอรับแป้งจากคุณครูไปทาหน้าหลังล้างหน้าเสร็จ
ชานยอลเดินไปยืนต่อแถวรวมกับเพื่อนๆ โดยมีแบคฮยอนรั้งท้าย คุณครูยิ้มเอ็นดู
ไม่บ่อยนักที่ชานยอลจะยอมทาแป้ง
จนถึงคิวของพี่ปาร์ค
แป้งฝุ่นจำนวนหนึ่งถูกเทจนล้นฝ่ามือเล็ก เด็กชายหมุนตัวกลับหลัง
ก่อนจะปะแป้งในมือลงบนแก้มนิ่มทั้งสองข้างของคนข้างหลัง แบคฮยอนหลับตาปี๋ในทันที
ยืนนิ่งๆให้อีกคนชโลมแป้งลงบนหน้าอย่างจำยอม ชานยอลหัวเราะคิก
แค่นี้เขาก็ไม่ต้องทาแป้งแล้ว
“หน้าเงือกมากเลยตัวเอง
ใช้รองพื้นเบอร์ไรอ้า หน้าลอยนะ ฮิๆ“
จูงเพื่อนตัวเตี้ยไปยืนหน้ากระจกแล้วขำออกมาอย่างน่ารัก
ชานยอลตบมือฉาดใหญ่ดังๆอย่างชอบใจ มองเผินๆเหมือนลิงตีฉาบยังไงอย่างงั้น แบคฮยอนหน้าบึ้ง
แก้มนิ่มพองลมออกอย่างไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่นัก ใบหน้าเล็กขาววอกจนเหมือนจะไปเล่นงิ้ว
แต่ถึงอย่างนั้นชานยอลก็ยังคงยืนขำอยู่
ส่งมือไปบีบแก้มทั้งสองข้างของเพื่อนตัวเล็กอย่างสนุกสนาน
“ไม่ตลกนะ
เค้าโป้งตัวเองแล้ว! “
“โห้ งั้นดีกัน
ผิดไปแล้ว “
นิ้วก้อยเล็กถูกยื่นไปตรงหน้า
แต่แบคฮยอนสะบัดหนีอย่างงอนๆ เด็กชายตัวเล็กยืนเชิดหน้าอดอกหันไปอีกทาง
พี่ปาร์คยิ้มขำ ดูไปดูมาก็น่ารักแฮะ
เหมือนเห็ดเผาะที่แหงนหน้าขึ้นหาพระอาทิตย์ยังไงอย่างงั้นเลย
ตกเย็น
หม่ามี๊ของชานยอลก็มารับเด็กๆทั้งสองคนกลับบ้าน ดูเหมือนพวกเขาทั้งคู่จะดีใจเป็นพิเศษเมื่อรถเก๋งคันหรูเลี้ยวเข้าไปในห้างสรรพสินค้าในระหว่างทางกลับบ้าน
เมื่อประตูรถถูกเปิดออก เด็กๆทั้งสองก็รีบจูงมือกันวิ่งเข้าไปข้างในอย่างรวดเร็ว
คุณแม่วัยกระเตาะรีบเดินตาม ก่อนจะพาทั้งคู่ไปฝากไว้ที่บ้านบอลที่ชั้นล่างสุดของห้างสรรพสินค้า
เธอต้องไปทำธุระก่อน
ซื้อตั๋วสองใบสำหรับเด็กสองคน
แบคฮยอนดูจะตื่นเต้นเอามากๆเพราะเขาไม่เคยเข้าไปในบ้านบอลเลยสักครั้ง
ด้วยขนาดตัวที่เล็กและไม่มีคนดูแล
ทั้งพี่สาวของเขาก็โตเกินกว่าที่จะเข้าไปเล่นในบ้านบอลกับเขาได้
ก็เลยไม่เคยได้เข้า จึงนับว่าครั้งนี้เป็นครั้งแรกสำหรับเขาเลยก็ว่าได้
ชานยอลจับมือเล็กของเพื่อนสนิทไว้แล้วพาคลานลอดซุ้มเข้าไปข้างใน เด็กชายยิ้มร่า
ลูกบอลหลากสีที่มีเยอะแยะจนนับไม่หวาดไม่ไหวนั้นดูเผินๆเหมือนลูกกวาดน่ากินชะมัดเลย
“นี่แน่ะ! “
ผลักคนตัวเล็กกว่าลงไปในกระบะลูกบอลนั่น
แบคฮยอนเสียหลักล้มลงไปในทันที เด็กชายตัวเล็กจมหายไปกับลูกบอลจำนวนมหาศาล
ก่อนชานยอลจะกระโดดตามลงไปอย่างสนุกสนาน เด็กชายสนุกไปกับการดำผุดดำว่ายอยู่ในกระบะลูกบอลโดยไม่ทันได้สังเกต
พอเงยหน้าขึ้นมาก็ไม่เห็นเพื่อนสนิทเสียแล้ว
“แบคฮยอน“
“...”
ชานยอลกลอกตาไปมา
พยุงตัวเองให้ลุกยืนขึ้น ลูกบอลมีจำนวนมากจนขึ้นมาถึงเอวของเขา
มันเยอะมากเสียจนมองไม่เห็นแบคฮยอนเลย
เมื่อเรียกแล้วไม่มีเสียงตอบรับจากเพื่อนสนิท ชานยอลก็เริ่มลนลาน
นิ้วมือเล็กถูกส่งเข้าปากเพื่อกัดเล็บอย่างติดเป็นนิสัย ทำยังไงดี
หรือเจ้าเตี้ยวายร้ายจะจมลงไปในกลุ่มลูกบอลจนหายใจไม่ออกตายไปแล้ว ?
“แบคฮยอนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน!!!!!!!!!!!!!!!!! “
อ้าปากตะโกนลั่นจนเด็กๆคนอื่นๆในบ้านบอลหรรษาหันมามองเขากันเป็นตาเดียว
แต่มีหรือชานยอลจะสนใจ เด็กชายหูกางมุดกลับเข้าไปในกลุ่มลูกบอลนั้นอีกครั้ง
คิดแล้วก็ขำ ไม่รู้เหมือนกันว่าจะกลั้นหายใจไปทำไม
เขาไม่ได้อยู่ในสระน้ำสักหน่อยนี่นา
“ปั้ก! “
พอกลับขึ้นมายืนอีกครั้งก็ถูกลูกบอลจากไหนไม่รู้ปามาโดนที่หัวของเขาอย่างจัง
หันกลับไปก็เห็นเจ้าเตี้ยวายร้ายที่คิดจะครองโลกกำลังยืนยิ้มอยู่ตรงเนินฟูกสีชมพูนุ่มใกล้ๆกับสไลเดอร์
มือน้อยทั้งสองข้างถือลูกบอลไว้แล้วปามาที่เขาอีกรอบชานยอลหงายหลังล้มลงไปในทันที
“ไอ้เตี้ยชั่ว! จะลองดีกะพี่ปาร์คใช่ไหม ได้! “
และแล้วสงครามปาลูกบอลก็เริ่มขึ้น
ทั้งชานยอลและแบคฮยอนต่างปาลูกบอลหลากสีอัดใส่กันอย่างไม่ยอมแพ้
แต่เหมือนคนที่อยู่สูงกว่านั้นจะได้เปรียบ แถมชานยอลยังอยู่ในกระบะลูกบอล
แค่จะเดินหลบยังลำบาก เด็กชายก้มหยิบลูกบอลปากลับขึ้นไปแต่แบคฮยอนก็หลบได้
ลูกบอลสีเหลืองจากมือเล็กจะถูกปากลับมาเป็นการเอาคืน ชานยอลก้มหัวหลบ
“โอ้ย! “
เหลือกตาขึ้นด้วยความตกใจ
เมื่อหันกลับไปด้านหลัง เจ้าเด็กอ้วนตัวยักษ์เป็นผู้รับลูกบอลนั้นไปเต็มๆ
ลูกบอลสีเหลืองที่แบคฮยอนปามากระแทกเข้ากับจมูกของเจ้านั่นอย่างจัง
เจ้าเด็กอ้วนตัวใหญ่ถลึงตาใส่เขาก่อนจะพุ่งเข้ามาบีบคอ ชานยอลรีบถอยหลังหลบไป
ปีนขึ้นเนินไปหาแบคฮยอนแล้วคว้าข้อมือเล็กไว้ก่อนจะพาวิ่งย้อนกลับขึ้นไปทางสไลเดอร์
“หนีเร็ว! “
หันกลับไปก็เห็นเจ้าเด็กอ้วนนั้นกำลังตะกายเนินวิ่งตามขึ้นมาติดๆ
แต่ยังดีที่ทั้งคู่ตัวเล็กจึงปีนขึ้นไปได้ง่าย
ใบหน้าอ้วนกลมนั่นดูจะเจ้าคิดเจ้าแค้นมากเลยทีเดียว ถ้าเจ้านั่นจับพวกเขาได้ล่ะก็
คงจะโดนอัดจนเละคามือแน่ๆ
เมื่อปีนขึ้นเนินมาได้สำเร็จ
ข้อมือเล็กของแบคฮยอนก็ถูกดึงรั้งอีกครั้ง
เด็กชายทั้งสองคนวิ่งผ่านทางแคบๆสวนกับเด็กตัวเล็กกว่าอีกสองสามคนที่กำลังจะเดินไปเล่นสไลเดอร์
เจ้าอ้วนนั่นปีนขึ้นมาแล้ว เด็กตัวเล็กๆอีกสามคนถูกผลักติดผนังทันที
เด็กชายทั้งสองรีบปีนตาข่ายเชือกตรงหน้าอย่างไว ก่อนจะขึ้นมาถึงชั้นสอง
พวกเขาออกวิ่งต่อ แต่คนตัวเล็กกลับล้มซะนี่
“อ๊ะ! “
“โถ่เตี้ยเอ้ย! “
วิ่งมาไกลแล้วก็ต้องกลับไปช่วยไอ้เตี้ยอีกรอบ
ฉุดข้อมือเล็กให้ลุกขึ้นก่อนจะออกวิ่งต่อ เจ้ายักษ์นั่นวิ่งมาจะถึงพวกเขาอยู่แล้ว
ชานยอลกอดเพื่อนตัวเล็กไว้
ใช้มือจับหัวเล็กให้ซบกับอกของตัวเองแล้วพาเดินหลบเจ้าลูกตุ้มหลากสีอันใหญ่ที่แกว่งไปมาซึ่งห้อยลงมาจากเพดาน
จนเมื่อพ้นเจ้าลูกตุ้กยักษ์นุ่มนิ่มนั่นแล้ว ชานยอลเดินกลับไปอีกรอบ
ผลักเจ้าลูกตุ้มกระแทกเข้ากับร่างยักษ์ของเจ้าเด็กอ้วนนั่นทันทีจนล้มตึงลงไป
“ไปเร็วเตี้ย “
แล้วก็กลับมาอีกรอบ ดันให้คนตัวเล็กมุดลอดผ่านอุโมงค์ไปก่อน
ชานยอลค่อยๆประคองบั้นท้ายของแบคฮยอนเอาไว้ก่อนจะดันเข้าไปอย่างเร่งรีบ
เมื่อตอนนี้เจ้าเด็กอ้วนที่เขาเพิ่งจะแกล้งไปนั้นลุกขึ้นมาได้อีกรอบและกำลังย่างสามขุมมาทางนี้แล้ว
มุดตามแบคฮยอนลงไปติดๆ
กลับกลายเป็นว่าพวกเขาลงมาชั้นล่างอีกรอบ
อุโมงค์เป็นทางเชื่อมกับสไลเดอร์อีกอันพอดี ชานยอลลื่นหล่นลงไปทับแบคฮยอนที่ลงไปอยู่ก่อนแล้วเต็มๆ
ยังดีที่ด้านล่างเป็นเบาะสีฟ้าอ่อนรองรับพวกเขาไว้อยู่ ก่อนจะลุกขึ้นได้
คนตัวเล็กถูกกระชากให้ไปหลบอยู่ตรงซอกแคบๆหลังสไลเดอร์
ริมฝีปากนุ่มนิ่มถูกปิดทับด้วยฝ่ามือของเพื่อนตัวสูง
ทั้งคู่หอบหายใจด้วยความเหนื่อย
“ชู่ว .. “
“อยู่ไหนไอ้เปี๊ยก! ออกมาให้เราอัดเดี๋ยวนี้! “
เสียงเจ้าอ้วนพูดอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล
เด็กชายตัวใหญ่เดินวนเวียนป้วนเปี้ยนอยู่แถวนั้นไม่ห่างเมื่อตามลงมาได้
ชานยอลกดหัวเล็กของเพื่อนสนิทให้แนบชิดกับอกของตัวเอง
สองแขนกอดร่างเล็กไว้แน่นจนแทบจะหลอมรวมเป็นร่างเดียว ลำพังแค่มันเจอเขาไม่เท่าไหร่
แต่ถ้าแบคฮยอนต้องมาโดนอัดด้วย เจ้าเตี้ยนี่ต้องตายคามือมันแน่ๆเลย
“ชานยอลเค้าหายใจไม่ออก “
“ชู่ว! บอกให้เงียบๆ เดี๋ยวมันก็มาเจอเข้าหรอก “
“ปล่อยก่อน เค้าหายใจไม่ออก ..“
“รอตรงนี้นะ ไม่ต้องกลัว เดี๋ยวเค้าไปปราบมันเอง”
และแล้วก็ต้องปล่อย
คนตัวเล็กถูกดันให้เข้าไปอยู่ตรงหลืบข้างในสุดที่ชานยอลไม่สามารถเข้าไปได้
เด็กชายตัวสูงถอยออกมาก่อนจะตบนาฬิกาข้อมือตัวเองเบาๆ
น่าแปลกที่ออมนิทริกซ์ไม่ยักกะทำงาน แต่ไม่เป็นไร
ถึงยังไงเขาก็เก่งกว่าไอ้เด็กอ้วนนั่นอยู่แล้ว
“หว่ายยยย “
โผล่หัวออกไปก็เห็นเจ้าตัวยักษ์หน้าบึ้งยืนเฝ้าอยู่ตรงทางลงสไลเดอร์
ชานยอลถอยทัพกลับมาอย่างไว ในเมื่อแปลงร่างไม่ได้เขาก็ควรจะหลบอยู่อย่างงี้ดีกว่า
ไม่อยากเสี่ยงออกไปตายข้างนอก
แบคฮยอนที่นั่งหลบอยู่ข้างไหนถูกไล่ที่ให้เขยิบเข้าไปอีกจนตัวลีบ
ชานยอลย้ายตัวเองไปนั่งกอดเข่าอยู่ข้างๆกัน บนใบหน้ามีเหงื่อเล็กน้อย
เด็กชายกลอกตาไปมา คอยชะโงกหน้ามองเจ้าเด็กอ้วนนั้นอยู่เป็นพักๆด้วยความระแวง
“โถ้ นึกว่าจะแน่ “
“วันนี้ออมนิทริกซ์ไม่ทำงาน เงียบๆเหอะ เดี๋ยวมันก็ไป “
นั่งอยู่นานจนลืมไปแล้วว่าหนีเจ้าเด็กอ้วนนั่นอยู่
ชานยอลกับแบคฮยอนทิ้งตัวลงนอนเงยหน้ามองเพดานต่ำๆที่ถูกเพนท์เป็นรูปการ์ตูนต่างๆ
เด็กชายทั้งสองนอนหงายคุยกันเรื่องความฝันและเรื่องอื่นๆอีกหลายเรื่อง มือเล็กทั้งสองยังคงจับกันไว้ไม่ปล่อย
“อยากได้ลูกบอลแบบนี้ไว้ที่บ้านเยอะๆจัง “ เด็กชายตัวเล็กว่า
หลับตานึกถึงตอนที่ได้กระโดดลงไปในกระบะบอล
“นั่นดิ “
“ถ้าเอาออกไปได้คงดีเนอะ”
“อือ ออกไปกันเหอะ ป่านนี้เจ้านั่นคงไปแล้ว “ ชานยอลว่า
ดันตัวลุกขึ้นนั่ง แต่ก็ต้องหันกลับไปตามเสียงเรียกของคนนที่ยังนอนอยู่
“นี่ .. “
“อะไร “
“ขอบคุณนะที่คิดจะปกป้องเค้า “
ไม่นานนักหม่ามี๊ก็มารับพวกเขาออกจากบ้านบอลหรรษา
ก่อนจะไปช็อปปิ้งกันต่อ
เด็กชายทั้งสองคนยืนอยู่ในรถเข็นพลางช่วยคุณแม่หยิบของเข้ารถเข็นอย่างขยันขันแข็ง ภายในรถในขณะที่กำลังกลับบ้าน
ทั้งคู่ต่างพูดจ้อเล่าเรื่องในวันนี้ให้หม่ามี๊ฟังอย่างไม่รู้จักเหนื่อย
วันนี้พวกเขาสนุกมากจริงๆ
และเหมือนความสนุกสนานในวันนี้จะเดินทางมาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว
เมื่อขับรถเลี้ยวเข้าซอยบ้าน ก็เห็นรถของคุณแม่ของแบคฮยอนซึ่งหย่าขาดกับคุณพ่อของแบคฮยอนแล้วที่นานๆจะมาทีเลื่อนมาจอดที่หน้าบ้าน
ชานยอลหน้าบึ้ง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเดินไปส่งแบคฮยอนที่บ้าน
เดินคอตกกลับมาที่บ้านของตัวเองแล้วนั่งร้องไห้คนเดียวเงียบๆ
แม้แต่เจี๊ยบก็ไม่สามารถจะเยียวยาเขาได้ในยามนี้ เมื่อตอนที่ไปส่งแบคฮยอนที่บ้านแล้วได้ยินพ่อกับแม่ของแบคฮยอนคุยกันเรื่องที่คุณแม่จะมารับแบคฮยอนไปอยู่ต่างประเทศด้วย
แบคฮยอนต้องไปแน่ๆ เพราะที่นั่นมีพี่สาวของแบคฮยอนอยู่ด้วย
แถมเจ้าเตี้ยก็ติดพี่สาวตัวเองมากๆซะด้วยสิ งานนี้เขาคงตกกระป๋องแล้ว
“ฮึก .. “
“พี่ปาร์ค .. เป็นอะไรหืม ? ไหนบอกหม่ามี๊สิครับ “
ทันทีที่เก็บของที่ซื้อมาจากซุปเปอร์มาเก็ตเข้าที่แล้ว
คุณแม่วัยกระเตาะก็รีบมานั่งข้างๆลูกชายในทันที
ฝ่ามืออบอุ่นบรรจงลูกหัวเล็กๆของลูกชายเบาๆเป็นเชิงปลอบโยน
ไม่บ่อยนักที่จะเห็นชานยอลร้องไห้แบบนี้
“แบคฮยอน.. แบคฮยอนจะไปกับแม่แล้ว
แบคฮยอนจะไม่อยู่.. ฮึก “
เด็กชายสะอื้นไห้ออกมา น่าสงสารจับใจ คุณแม่มองออกไปนอกบ้าน
รถคันเดิมที่จอดอยู่ติดเครื่องแล้ว พวกเขากำลังขนของของแบคฮยอนขึ้นไปบนรถ
“มีพบก็ต้องมีจาก แบคฮยอนอาจจะมีเรื่องจำเป็นต้องไปอยู่กับคุณแม่
พี่ปาร์คต้องเข้าใจแบคฮยอนสิครับ หืม“
“ฮึก ..แต่ว่า .. ฮือ “
“ป่ะป๊าสอนว่ายังไงจำได้ไหมครับ ? พี่ปาร์คต้องเข้มแข็ง
เป็นลูกผู้ชายต้องไม่ร้องไห้รู้ไหมครับ ”
“ไม่ร้องไห้ .. ฮึก .. ไม่ร้อง ..“
ชานยอลเงยหน้าขึ้นสูดน้ำมูก ยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดน้ำตาอย่างลวกๆ
มือเล็กล้วงเอาลูกบอลพลาสติกสีเหลืองอ่อนจากกระเป๋าออกมาถือเอาไว้ ก่อนจะเงยหน้ามองผู้เป็นแม่ด้วยดวงตาที่แดงก่ำ
“ถ้าอย่างงั้นพี่ปาร์คไปหาแบคฮยอนได้ไหม.. “
รีบวิ่งออกไปทันทีที่หม่ามี๊พยักหน้าอนุญาต
มือน้อยถือเจ้าลูกบอลลูกเล็กที่แอบขโมยมาจากบ้านบอลเมื่อเย็นไว้แน่น
อย่างน้อยขอแค่ให้เขาได้ให้มันกับแบคฮยอนก็น่าจะพอแล้ว
“ฮือ .. “
เข้าบ้านไปก็เห็นคนตัวเล็กนั่งร้องไห้อยู่ตรงโซฟาหน้าทีวี
ชานยอลรีบวิ่งไปหาในทันที
มือเล็กบรรจงลูบแผ่นหลังของเพื่อนสนิทเบาๆเป็นการปลอบประโลม ทั้งๆที่ดวงตากลมยังแดงก่ำไม่หาย
“เค้าไม่อยากไปกับคุณแม่ เค้า ..เค้าอยากอยู่กับคุณพ่อ
อยากอยู่กับชานยอล ..“
“ไม่เป็นไรนะ ไม่ต้องร้อง ดูนี่ เค้ามีอะไรจะให้ด้วย “
ว่าแล้วก็ส่งเจ้าลูกบอลสีเหลืองอ่อนให้แบคฮยอน
จับมือเล็กให้บีบมันไว้ ชานยอลย้ายจากที่นั่งข้างๆแบคฮยอนเป็นนั่งยองๆอยู่ตรงหน้าแทน
เงยหน้าขึ้นมองใบหน้าน่ารักที่ตอนนี้เปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตา
มือเล็กถูกส่งไปเช็ดน้ำตาให้อย่างแผ่วเบา
“เค้าไม่อยากไป .. ฮึก .. “
“แบคฮยอน “
เจ้าตัวเล็กยิ่งร้องไห้หนักเมื่อเห็นคุณแม่มายืนอยู่ที่ประตูทางเข้า
เป็นอันรู้กันว่าถึงเวลาแล้ว ชานยอลยืนขึ้นก่อนจะช่วยพยุงแบคฮยอนให้ลุกไปหาคุณแม่ถึงแม้ว่าเขาเองก็ไม่อยากจะให้แบคฮยอนไปเลยก็ตาม
แต่เด็กชายขืนตัว เกาะโซฟาไว้แน่น .. เขาไม่อยากไป
“เร็วสิครับ เดี๋ยวขึ้นเครื่องไม่ทันนะ “
“ไม่! แบคฮยอนไม่ไป ไม่ไป! ฮึก .. “
และเมื่อคุณพ่อของแบคฮยอนเดินเข้ามา
เด็กชายตัวเล็กจึงวิ่งไปกอดขาผู้เป็นพ่อไว้แน่นแล้วซบหน้าร้องไห้อยู่กับขาคุณพ่ออยู่อย่างนั้น
ชายหนุ่มได้แต่ก้มหน้ามอง มือหนาลูบหัวลูกชายเบาๆอย่างนึกสงสาร
เขาเองก็ไม่ได้อยากให้แบคฮยอนไป
แต่เมื่อตกลงกันกับแม่ของแบคฮยอนแล้วว่าเธอจะเป็นคนรับแบคฮยอนไปเลี้ยงเอง
เพราะเขาก็ไม่ได้มีเวลามาดูแลแบคฮยอนได้ดีเท่าที่ควร
“แบคฮยอนจะอยู่กับพ่อ ไม่ไปนะ .. ฮือ พ่อไม่ให้แบคฮยอนไปนะ
“
“แต่แม่เค้าเลี้ยงเราได้ดีกว่าพ่ออยู่แล้ว ไปกับคุณแม่นะ “
“แต่แบคฮยอนรักคุณพ่อ .. นะครับ แบคฮยอนไม่ไป ฮึก ..“
เด็กชายยื้อตัว ถึงยังไงก็จะไม่ไป
“เอ่อ .. คุณน้าครับ “
ทำเท่าที่ตัวเองจะสามารถทำได้ ชานยอลค่อยๆเดินไปหาคุณแม่ของแบคฮยอนที่ยืนอยู่ตรงประตูอย่างกล้าๆกลัวๆ
ถึงแม้ว่าจะเคยเจอแล้วครั้งหนึ่งเมื่อตอนที่คุณน้ามารับแบคฮยอนหลังเลิกเรียนเมื่อนานมาแล้ว
เด็กชายก้มหน้า ก้าวพาตัวเองไปหยุดอยู่ตรงหน้าหญิงสาวถึงแม้ว่าขาจะสั่นก็ตาม
“ให้ .. ให้แบคฮยอนอยู่ที่นี่ได้ไหมครับ “
“หืม .. ทำไมล่ะ? “
“คือ .. “
“ว่าไง ? “
ชานยอลก้มหน้า เกือบจะร้องไห้อยู่รวมร่อ
มือน้อยกำเข้าหากันแน่น พยายามจะหาเหตุผลมาตอบคุณแม่ของแบคฮยอนให้ได้
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังนึกไม่ออก
“ก็แบคฮยอนไม่อยากไป .. แบคฮยอนอยากอยู่กับคุณพ่อ ละ ..
แล้วก็ผม “
“แล้วทำไมน้าถึงต้องทำตามที่ชานยอลขอด้วยล่ะครับ ไหนบอกซิ
?”
“...” ชานยอลเม้มปากพลางกำเสื้อตัวเองไว้แน่น
เขาไม่รู้จะตอบว่าอะไรดี นั่นน่ะสิ ทำไมคุณน้าต้องทำตามที่เขาบอกด้วย
“ถ้าน้าให้แบคฮยอนอยู่ ชานยอลสัญญาได้ไหมว่าจะดูแลแบคฮยอนของน้าให้ดีๆ
“
“สัญญาครับ! “
เป็นครั้งแรกที่กล้าเงยหน้าพูดกับคุณแม่ของแบคฮยอนตรงๆ
ไม่มีความลังเลอยู่ในคำตอบนั้นแม้แต่น้อย ม่านใสฉายแววมุ่งมันชัดเจน
ถึงแม้จะสั่นไปบ้าง แต่ก็เรียกรอยยิ้มให้กับหญิงสาวได้ในที่สุด
“ฝากด้วยนะคะคุณ “
หันไปพูดกับอดีตสามีที่กำลังนั่งปลอบลูกชายอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล
ก่อนจะลดตัวนั่งลงให้ความสูงเทียบเท่ากับเด็กชายตรงหน้า
วางมือลงบนไหล่ของชานยอลแล้วบีบเบาๆ
“น้าฝากด้วยนะครับ พี่ปาร์ค “
ฟ้ามืดลงแล้ว
รถของคุณแม่ของแบคฮยอนออกไปได้สักครู่แล้ว เด็กชายทั้งสองได้มีโอกาสพูดคุยกับพี่สาวของแบคฮยอนอีกไม่กี่ประโยคก่อนจะจากกัน
พี่คนสวยฝากฝังเจ้าน้องชายตัวแสบไว้กับเด็กชายอย่างดิบดี
หารู้ไม่ว่าคนที่แสบกว่านั่นก็คือชานยอล เด็กชายทั้งสองกอดกันกลม
ในที่สุดก็ได้อยู่ด้วยกัน
“นี่ ..“
“หืม ? “
“ตัวเองพูดกับแม่เค้าว่าอะไรหรอ”
ทั้งคู่นอนคุยกันบนดาดฟ้าที่บ้านของแบคฮยอน
ตั่งไม้พร้อมฟูกถูกจับจองโดยชานยอลและแบคฮยอน
ดวงตาสองคู่มองขึ้นไปที่กลุ่มดาวบนฟ้า มันสวยเสียจนหยุดมองไม่ได้
“เค้าบอกว่าเค้าจะปกป้องดูแลตัวเองเอง “
“แล้วตัวเองจะดูแลเค้าแบบที่บอกแม่เค้าไหม
“ ชานยอลตะแคงหน้าหันไปหาเจ้าของคำถาม
เด็กชายอมยิ้มน้อยๆ ..
“ด้วยชีวิตเลย”
_______________________________
THE END