วันศุกร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ผู้ชายจังไร ขอแต้บไข่เพื่อเธอ : chapter 3









“โตเป็นควายละ เมื่อไหร่มึงจะแดกผักเป็นสักทีวะ “




ผมหันไปค้อนวงใหญ่ ระหว่างที่ตักแตงกวาใส่จานของแบคฮยอนที่นั่งฝั่งตรงข้าม มันกำลังมองผมด้วยสีหน้าเอือมระอา แก้มนิ่มพองออกเพราะเคี้ยวแตงกวาอยู่เต็มปาก ผมก้มมองจานข้าวมันไก่ของตัวเองที่มีผักเหี้ยนี่อยู่ประมาณล้านกว่าชิ้น ได้ข่าวว่ากูสั่งเข้ามันไก่ ไม่ใช่ผัดผักนะเนี่ยสาส เนื้อไก่แม่งมีให้กูอยู่สองชิ้นซอยบางๆวางโปะข้าว กะหนังอีกนิดหน่อย แม่งให้ไก่เท่าจิ๋มมด เอาจริงๆถ้าบ้านเลี้ยงไก่ผมจะไปฆ่าแม่งสักตัวละเอามาทำกินเองให้มันรู้แล้วรู้รอด







“กูอะเด็กกำลังโต ต้องกินเนื้อ กินแป้งเยอะๆ “





“ละมึงก็ไม่ต้องมาบ่นเลยนะว่าขี้ไม่ออก “





“เออน่า กูไม่ใช่ตุ้ดนะจะให้มานั่งแดกสลัดอะ กูอยากกินเนื้อ ต้องเนื้อเท่านั้น เข้าใจกูหน่อยดิ “







เพี้ยะ !!







เสียงเพี้ยะดังลั่นใกล้ๆก่อนจะพบว่าตัวเองหน้าสั่น ผมก้มหัวไปข้างหน้าตามแรงตบ ซิ้ด เจ็บสัดๆ ผมหันไปค้อนไอ้จงอินที่นั่งข้างๆผม มันกำลังคาบถั่วฝักยาวอยู่คาปาก อิเหี้ยสองตัวนี้นี่แดกผักเก่งจัง มึงแดกกันเป็นไร่เลยปะเนี่ย โหย เจ๋ง







“งั้นไอ้ตุ้ดนี่ก็ผู้ชายหรอ แม้แต่ผักชีมันยังไม่แดกเลย “







เคี้ยวถั่วฝักยาวเสร็จก็พูดโบ้ยไปหาคนตัวขาวที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับตัวเอง มือหนาเอื้อมข้ามโต๊ะไปตักผักในจานของเพื่อนสนิทมาไว้ในจานตัวเอง ผมกลั้นขำ หน้าไอ้ฮุนดูก็รู้ว่านอยด์จัด







“คือกูจะแดกไม่แดกก็เรื่องของกูปะ “





“ก็กูเสียดายอะ “



“มึงเลิกเถียงเหอะ ดูนู่น “





ผมหันหลังไปตามที่แบคฮยอนโบ้ย แก๊งค์อริเจ้าเดิมกำลังยืนเกาะกลุ่มอยู่ตรงร้านข้าวหน้าทางเข้าโรงอาหาร ผมซึ่งกำลังเคี้ยวข้าวมันไก่อยู่หลุดขำพรืดออกมาทันที







“ไอเหี้ย มึงเห็นหัวไอเฉินปะ 5555 ใครให้แม่งทำทรงนี้วะ “







“คือก่อนมึงจะขำอะมึงกลืนข้าวก่อนได้ปะไอเหี้ย ติดเต็มหน้าผากกูเลย “







แบคฮยอนบ่นผมพลางเอาทิชชู่มาเช็ดหน้าตัวเอง เนื่องจากแรงหัวเราะของผมที่มีอิทธิพลมหาศาลส่งผลให้คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามได้รับความเดือดร้อน ผมได้แต่หัวเราะแล้วพูดขอโทษมันซ้ำไปซ้ำมา ก่อนจะยื่นมือไปช่วยหยิบเม็ดข้าวที่ติดบนแก้มนิ่มออกให้









“กูขอทอดๆ ไอเหี้ยกูขำอะ มึงดูไอเฉินดิ ผมข้างบนมันหายไปไหนวะ “







ผมขำไม่หยุด พลางหันหลังไปมองกลุ่มพวกนั้นอีกครั้ง สองมือยกขึ้นตบฉาดบนหน้าตักตัวเองด้วยความสะใจ นึกไปนึกมาแล้ว บางทีรอยแหว่งบนหัวมันอาจจะเป็นเพราะที่ผมถุยหมากฝรั่งใส่หัวมันเมื่อวานซืนก็เป็นได้









“มึงขำเบาๆหน่อย อย่าหันไปมองโต้งๆดิสัด เดี๋ยวพ่อมึงก็มาล่อถึงโต๊ะหรอก “









เซฮุนเอ่ยเตือนด้วยน้ำเสียงค่อนข้างจริงจัง ยิ่งขำเข้าไปอีกเมื่อเห็นพวกมันยืนทำหน้าเครียด ผมหยุดหัวเราะไม่ได้ และผมก็ละสายตาจากไอ้พวกนั้นไม่ได้ด้วย ผมพยายามเอามือปิดปากกลั้นเสียงหัวเราะสะใจของตัวเอง ฉับพลันที่ไอ้เฉินหันมาป๊ะเข้ากับผมพอดี มันยกมือขึ้นชี้หน้าผม ตาโปนๆภายใต้หน้าผากเถิกเหลือกขึ้น พร้อมกับพวกมันที่เหลือสามสี่คนก็หันมามองกันเป็นตาเดียว









“เฮ้ย กูว่า มันยังไงละว่ะ”







ไอ้ฮุนยกมือขึ้นเท้ากับโต๊ะพลางลุกขึ้นยืน ส่วนไอ้ไครีบตักข้าวยัดใส่ปากหลายๆคำ แบคฮยอนหยิบไอโฟนที่วางไว้บนโต๊ะยัดใส่กระเป๋ากางเกง ทุกคนดูเร่งรีบ ผมยังมองพวกมันอยู่ เหมือนรู้สึกได้ลางๆว่าพวกมันกำลังเดินมา











ทางนี้ ..









“เอ้าอิเหี้ยรอกูด้วย! “







ผมโดดข้ามโต๊ะทันที ไม่ดงไม่แดกแม่งแล้วข้าว พวกไอ้เฉินเปลี่ยนจากเดินชิวๆเป็นวิ่งกรูกันเข้ามาแทน ผมตกใจ ตีนกระตุก สัญชาติญาณสั่งให้รีบวิ่งในทันที ผมตะโกนไล่หลังไอเพื่อนเหี้ยอีกสามคนที่วิ่งสี่คูณร้อยนำไปก่อนแล้ว มึงโคตรรักเพื่อนมึงเลยอะ สาส



“หยุดนะมึง สัดชานยอล !“









เสียงตะโกนไหล่หลังตามมา ให้เดาว่าไอ้พวกนั้นคงรู้ว่าเป็นผมเองที่ถุยหมากฝรั่งใส่หัวหน้าแก๊งค์ของพวกมัน ผมหันหลังไปมองแต่ยังคงเร่งฝีเท้า ไอ้เฉินชี้หน้าผมแล้วตะโกนอย่างเอาเป็นเอาตาย







“หยุด กูบอกให้หยุด!“









ผมรีบซอยขาอย่างไวที่สุดเท่าที่จะทำได้ เห็นหลังแบคฮยอนวิ่งเลี้ยวไปตรงมุมตึกไวๆ ไอ้ไคกับไอ้ฮุนหายต๋อมไปไหนแล้วไม่รู้ ไอ้สองตัวนี้มักจะไวเสมอเวลามีเรื่อง ผมเลี้ยวตามแบคฮยอนไปทันที







“ชิบหายละ “





เลี้ยวมาก็เจอห้องน้ำ ผมตบหน้าผากตัวเองแรงๆหนึ่งที ถอนหายใจให้กับความโง่ของเพื่อนสนิทและความโง่กว่าของตัวเอง แต่วินาทีนี้ผมไม่มีทางเลือก รีบผลักประตูเข้าไป ลากแบคฮยอนที่กำลังยืนเอามือยันเข่าหอบอยู่ให้เข้าไปในห้องน้ำห้องสุดท้ายก่อนจะล็อคกลอนไว้







“มึงโง่ปะเนี่ยอิเตี้ย“







ผมกระซิบ หอบหนักไม่แพ้กัน ในนี้แคบมากจนแทบจะไม่มีที่ให้ขยับเลย เหนื่อยชิบหาย ไม่เคยวิ่งเร็วขนาดนี้มาก่อน ถ้าไม่ติดว่าพวกแม่งถือไม้เมตรมาด้วยนะ กูไม่กลัวหรอก แน่จริงมึงมามือเปล่าแล้วตัวตัวดิ แล้วอย่ามาเกินสอง ไอสัดกูสู้ไม่ได้







“อุ้บ “







แบคฮยอนที่กำลังจะอ้าปากเถียงถูกมือเค็มๆของผมเลื่อนไปปิดปากทันทีเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆใกล้เข้ามา เสียงเอี๊ยดอ๊าดของพื้นรองเท้าหยุดลง ผมก้มลงมองเงาที่พื้น ไอ้พวกนั้นกำลังเดินเข้ามา



“ชู่ว “







ผมปล่อยมือออกจากปากของคนตัวเล็ก เลื่อนนิ้วชี้แตะริมฝีปากของตัวเองเป็นเชิงสั่งให้เงียบ แบคฮยอนพยักหน้า ดูเหมือนว่าผมจะปิดปากมันแรงไปหน่อย หน้ามันถึงได้แดงๆเขียวๆยังไงพิกล







“มันอยู่ในนี้แน่ “







เสียงสำเนียงบ้านเกิดจากชิงเต่าเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัด ผมหลุดขำออกมาเบาๆ เวลามันพูดทีเหมือนคนลิ้นไก่สั้นที่ท่องสคริปมาไม่แม่นพอ เสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา ผมรีบดึงฝาชักโครกปิดลงเบาๆแล้วขึ้นไปนั่ง เอาตีนพาดไว้กับฝาถังขยะข้างๆกัน ก่อนจะรั้งเอวของแบคฮยอนให้ลงมานั่งที่ตัก เพื่อไม่ให้คนข้างนอกมองเห็นขาพวกผม





“เหี้ย “







ถึงแม้จะไม่มีเสียง แต่ผมพอจะอ่านปากมันออก แบคฮยอนหันมามองผม สีหน้าดูไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นัก คนตัวเล็กดิ้นขลุกขลักอยู่บนตัก ที่ก็แคบมึงจะดิ้นทำส้นตีนอะไรวะเนี่ยโอย เดี๋ยวแม่งก็พังประตูเข้ามาพอดี









“กูรู้น่าว่าพวกมึงอยู่ในนี้ ออกมา แล้วพวกกูสัญญาจะกระทืบมึงแค่เบาๆ “









เสียงไอ้เฉินดังขึ้นอีกระลอก ตามด้วยถีบประตูห้องน้ำห้องแรก แบคฮยอนสะดุ้ง มันหันกลับมามองหน้าผมด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก ฝ่ามือขาวบีบแขนของผมที่กอดเอวมันไว้แน่นด้วยใจระทึก ผมยกนิ้วชี้ขึ้นแตะริมฝีปากตัวเองอีกครั้งพลางส่ายหน้าไปมาเบาๆเพื่อเตือนสติ เสียงถีบประตูห้องน้ำแต่ละบานใกล้เข้ามาเรื่อยๆ







“ปัง! “



เสียงปังดังขึ้นตรงห้องน้ำห้องข้างๆนี่เอง สังเกตได้ว่าแบคฮยอนตัวสั่นอย่างเห็นได้ชัด ฝ่ามือเล็กที่ชื้นเหงื่อเลื่อนมาบีบมือผมไว้แน่นอย่างลืมตัว ผมหัวเราะน้อยๆอย่างนึกขำ มึงจะกลัวทำไมวะ เล่นฮับคิโดสายดำขั้นที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ ทีกะพวกเหี้ยนี่ปอดจัง









“เดี๋ยวพอประตูเปิด มึงวิ่งเลยนะ “







ผมโน้มหน้าลงไปกระซิบข้างหูลูกหมาตัวน้อยที่สั่นเป็นเจ้าเข้าอยู่บนตักด้วยกลัวว่าถ้าพูดดังเกินไปแล้วพวกที่อยู่ข้างนอกจะได้ยิน แบคฮยอนพยักหน้า เสียงถีบประตูห้องน้ำดังขึ้น ผมอุ้มแบคฮยอนลงจากตัก ก่อนจะเอื้อมมือไปปลดกลอนประตูออก







“จ๊ะเอ๋! “







ประตูห้องน้ำถูกกระชากอย่างแรง ผมยิ้มรับก่อนจะถีบเข้าไปที่กลางท้องไอ้เฉินเต็มแรง แบคฮยอนวิ่งออกไปแล้ว ผมวิ่งตามออกไปทันที ทิ้งให้ไอ้พวกนั้นยืนงงอยู่กับหัวโจกของมันที่ตอนนี้ลงไปนอนที่พื้นเรียบร้อยแล้ว









“แฮ่ก “







หลังจากโกยแน่บออกมาไกลจากตรงนั้นมากแล้ว ผมที่วิ่งตามแบคฮยอนมาตั้งแต่เมื่อกี้ถึงกับต้องยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดเหงื่อ แบคฮยอนนอนหงายราบลงไปกับพื้นโรงยิม ผมทิ้งตัวนั่งลงบนอัฒจันทน์ขั้นล่างสุด เหนื่อยชิบหาย









“อ้าวไงเพื่อน หวัดดี “









หันไปตามเสียงเรียก ไอ้เพื่อนสองตัวที่หายหัวไปมาโผล่อยู่ตรงกรงเก็บลูกบาสนี่เอง ไอ้ไคโบกมือหยอยๆอยูู่ข้างๆเซฮุนที่กำลังจกขนมกินอย่างหิวโหย ให้เดาว่าพวกมันคงวิ่งมาหลบอยู่ที่นี่นานแล้ว มองไปกลางวงที่พวกมันนั่ง ขนมหลายถุงวางสุมๆกัน ผมรีบเดินไปคว้าขวดน้ำขึ้นมากระดกอึกใหญ่







“นี่พวกมึงว่างถึงกับต้องแวะซื้อเสบียงมาเลยปะ มึงรู้ปะพวกกูไปเจออะไรมา “









ผมพูด ทิ้งตัวลงนั่งข้างๆเซฮุน หันไปมองแบคฮยอนที่นอนหอบอยู่ไกลๆ มันคงเหนื่อยกว่าผมสองเท่า ด้วยความยาวขาที่ค่อนข้างจะแตกต่างกัน อันที่จริงผมควรจะถอยแมงกะไซให้แม่งคันนึงจะได้บิดตามกันมา ไม่งั้นมันคงไม่ต้องเหนื่อยอย่างนี้







“ไงละมึง ไปทำเหี้ยไรไว้ให้พวกแม่งมาไล่ตื้บอะ สารภาพกับพวกกูมาเลย”







“เปล่า กูไม่ได้ทำไรเลย “





“ฮัลโหล มาหลบกันอยู่นี่เอง “







ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตอบอะไรไปมากกว่านั้น เสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นมาจากด้านหลัง ผมหันไปตามต้นเสียง ไอ้เฉินแอนด์เดอะแก๊งค์ยืนอยู่หน้าทางเข้า แต่แล้วบางอย่างก็ทำให้ผมแอนด์เฟรนด์ต้องแหกปากร้องเฮ้ยออกมาเสียงดัง ประตูเหล็กตรงทางเข้าถูกเลื่อนปิดลงช้าๆเพราะความหนัก ผมรีบลุกวิ่งไปหาพวกมันทันที







“ครืดด ปัง!!!









“เชี่ยเอ้ย!”







ไอ้ไควิ่งตามมาตอนที่ประตูถูกปิดลงพอดี สองคนช่วยกันงัดประตูขึ้นแต่ก็ไม่ทันแล้ว เหมือนผมได้ยินเสียงล็อคกลอนจากข้างนอก เสียงหัวเราะสะใจดังลอดบานประตูออกมา





“ขอให้สนุกกับเสาร์อาทิตย์นะพวกมึง “







เสียงนั้นดังขึ้นก่อนที่เสียงหัวเราะและเสียงฝีเท้าจะค่อยๆเบาลงจนหายไป ผมหันไปสบตากับไอ้ไค .. วันนี้วันศุกร์









ชิบหายละ ..





.
.



“ไม่มีทางออกเลยอ่อวะ “







ผมถาม หลังจากพากันเดินหาซอกหลืบประตูออกจากโรงยิมแห่งนี้กันคนละทิศคนละทาง ไอ้เซฮุนส่ายหัวพลางทิ้งตัวเอาก้นกระแทกกับอัฒจันทร์อย่างแรงด้วยความเซ็ง ผมมองไปรอบโรงยิมแห่งนี้อีกครั้ง มันถูกปิดตายจากด้านนอก











“มึงเอาโทรศัพท์มึงดิ “ พูดพลางชี้ไปที่กระเป๋ากางเกงของมัน เซฮุนส่ายหัว







“แชทกะสาวแบตหมดละ “







“อย่ามามองกู มึงก็รู้ว่ากูไม่พกโทรศัพท์ “ ไอ้ไคที่ยืนล้วงกระเป๋าพิงอัฒจันทร์อยู่ข้างๆรีบตอบ







“แบค เหลือมึงคนเดียวละ ถ้ามึงไม่มี กูร้องไห้เลยนะ “







ผมหันไปหาแบคฮยอนที่ยืนเกาะประตูเหล็กอยู่ตรงทางเข้า แบคฮยอนส่ายหน้าช้าๆให้ผม ฉับพลันหยาดน้ำตาเม็ดใสก่อตัวอยู่ที่หางตา ผมเบะปาก คิดถึงหม่ามี๊



“ข้างนอกมีใครอยู่ไหมคร้าบ มีใครอยู่ไหมครับ! “







แบคฮยอนเขย่งปลายเท้าขึ้นแล้วตะโกนผ่านช่องรับอากาศของประตูเหล็ก ผมรีบเดินไปตรงนั้นเผื่อว่าจะมีใครผ่านมาแถวนี้บ้าง ช่องว่างนั้นตรงกับตาและจมูกของผมพอดี ผมมองออกไปรอบๆ ข้างนอกเงียบมาก ไม่มีแม้แต่สิ่งมีชีวิตใดๆหลงเหลืออยู่เลย









“หกโมงกว่าละนะมึง ป่านนี้แม่งกลับกันหมดละ “









“กูว่าเหมือนกูเห็นใครไม่รู้ว่ะ”









ผมพูดตายังคงจับจ้องอยู่ที่หลังเสาต้นใหญ่ข้างนอกนั่น ผมหรี่ตาปรับโฟกัสให้ชัดขึ้น แต่ด้วยความที่ใกล้จะมืดทำให้มันแทบจะมองไม่เห็นอะไรเลย บางทีผมอาจจะสายตาสั้นไปแล้วเนื่องจากเล่นคอมตอนกลางคืนบ่อยเกินไป







“ไหนสัดกูดูมั่งดิ “





แบคฮยอนแทรกตัวเข้ามาตรงกลางระหว่างผมและบานประตูเหล็ก คนตัวเล็กกระโดดเขย่งอยู่หลายครั้ง ฝ่ามือขาวเกาะอยู่ตรงขอบของช่องเล็กๆนั่น ผมก้าวถอยหลัง สะโพกนิ่มนั่นถูไถกับตัวผมไปมาเพราะมันกระโดดไม่หยุด เชี่ย









“สัดชานยอลอุ้มดิ้ “







“อุ้มพ่องดิตัวอย่างควายให้กูอุ้ม “











ผมเหล่ตามอง แบคฮยอนหันหลังกลับมาหาผม มือเล็กกดไหล่ผมไว้เตรียมจะพาตัวเองขึ้นมาบนตัวผมให้ได้ ผมถอนหายใจ ตอนเด็กๆมันชอบให้ผมซึ่งตัวใหญ่กว่าอุ้มเสมอเวลาที่มองอะไรไม่เห็น แต่นี่มันไม่ใช่อีกแล้ว โตแล้ว ฟาย!











“มึงหลบดิยืนเตี้ยอยู่อย่างงี้จะมีคนมาช่วยมึงไหม ไป๊ เกะกะ “











ผมผลักไหล่มันให้หลบไปจากช่องว่างนั้น ยื่นจมูกที่สันเป็นคม เส้นผมก็ทำไฮไลต์ กระเป๋าก็คอกโคดาย กางเกงก็ยีนส์ลีวาย จะเรียกลำไยละคิดดูให้ดี คิดๆดูให้ดี คิดๆดูให้ดี..พ่อมึงดิ เล่นเหี้ยไรไม่รู้เวลา ผมยื่นจมูกออกไปผ่านช่องนั้น อาห์ .. ออกซิเจนข้างนอกช่างสดชื่นอะไรอย่างนี้นะ











“เฮ้ย ลุง ! ลุง! “











และหลังจากที่มองออกไปอีกครั้ง เงาคนที่ผมเห็นตอนแรกก็เผยออกมาให้เห็นเป็นตัว ลุงภารโรงคนนั้นนั่นเองที่ผมเคยถ่ายรูปกับเขาเมื่อหลายวันก่อน ผมรีบเขย่าประตูเหล็กพลางแหกปากเสียงแปดหลอดตะโกนเรียกทันที









“ลุง ลุงโว้ย โย่ว ลุง ! “









ผมทุบประตูอย่างบ้าคลั่งเมื่อเห็นว่าลุงกำลังจะเดินออกไปจากกรอบสายตาของผม สองมือหอบเอาไม้กวาดทางมะพร้าวกับที่โกยผงเดินออกไปไกลขึ้นทุกที





“ลุงงงงงงงง เหี้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย ลุง!!!!!!!!!!!!!!!! มาเปิดประตูให้กูก่อน ลุง เหี้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! “











ผมแหกปาก ไม่สนใจแบคฮยอนที่พยายามเขย่งมองลอดช่องนั้น ไอ้ไคกับไอ้ฮุนกรูกันเข้ามาแย่งกันส่องช่องตรงประตูเหล็ก แล้วมหกรรมตะโกนเรียกลุงภารโรงก็บังเกิดขึ้น พวกผมสี่คนช่วยกันตะโกนเรียกลุงเหี้ยนั่นอย่างไม่ได้นัดหมาย ถ้าแรปเป็นเพลงได้กูคงทำไปแล้ว หรือจะให้บีทบ็อกซ์ ถ้าลุงจะเดินกลับมาเปิดประตูให้ ผมก็พร้อม









“ไปละมึง ตัวช่วยสุดท้าย “











ไอ้ไคถอนหายใจก่อนจะเดินลากขากลับไปที่อัฒจันทร์ที่เก่า ผมเตะประตูดังลั่นจนเกิดเสียงดังก้องไปทั้งยิม









“หูหนวกไงวะ กูบอกแล้วให้แดกเห็ดเยอะๆ ไม่เชื่อกู “







“แดกเห็ดแล้วหูจะดีขึ้นหรอวะมึง “ แบคฮยอนถาม ผมถอนหายใจ กลอกตาอย่างเอือมระอา









“กูมั่ว มึงนี่ก็เชื่อจัง ควายปะเนี่ย แม่ง อย่าให้กูรู้นะว่าเฟสบุ้คแม่งชื่ออะไรอะ กูจะเอาพวกไปกดสแปมแม่งให้หมดเลย “









ผมตะโกนบ่นเสียงดังลั่นยิม เดินขยี้หัวตัวเองด้วยความเซ็งสุดขีด กลับไปนั่งที่เดิมอย่างเลี่ยงไม่ได้







.

.









“มึง กูว่า เราคงต้องฆ่าใครสักคนว่ะ เราจะได้ไม่อดตาย “









ผมโพล่งขึ้นกลางวงหลังจากที่พวกเรานอนกลิ้งไปกลิ้งมาจนเบื่อแล้ว เอาจริงๆนะเว้ย ถ้าต้องติดอยู่ที่นี่อะ มันไม่มีอะไรที่มนุษย์แดกได้เลย แม่งมีแต่ลูกบาส กะแป้นบาส แล้วก็ลูกบอล ลูกตะกร้อเงี้ย ให้กูแดกตะกร้อหรอ มันเป็นไปไม่ได้อะ





ฉับพลันผมก็ไปนึกถึงหนังเรื่องนึงที่ผมเคยดู เป็นหนังเกี่ยวกับแนวเอาชีวิตรอดเนี่ยแหละ ให้เดาว่าไอ้พวกสามคนนี้คงไม่เคยดู ดังนั้นผมที่มีประสบการณ์มากที่สุดจึงเสนอทางออกที่ดีที่สุดให้กับพวกเรา









“ต้องฆ่าคนที่มีประโยชน์น้อยที่สุดอะ เจสันบอกมา “









ผมพูดอีกรอบเนื่องจากทั้งวงเงียบกริบ พวกมันอาจจะไม่เข้าใจที่ผมพูด หรือกำลังช็อคอยู่ก็เป็นได้ ผมก้มหน้าคิด ก่อนจะเงยหน้ามองเพื่อนอีกสามคนที่เหลือ ไอ้ไค ไอ้แบค ไอ้ฮุน ..









แน่นอนว่าผมเป็นพระเอก ดังนั้นกูต้องรอด อิอิ









“เจสันไหนวะ “









“ควายมึงไม่เคยดูหรอวะ เอาชีวิตรอดในถ้ำเหี้ยไรไม่รู้อะ กูเคยเช่ามาดูกับพี่สาวเมื่อตอนเด็กๆ มันส์มากนะมึง นางเอกนมนี่ตู้มงี้เลย แต่สุดท้ายโดนเสือแดกตาย “









ผมหันไปตอบไอ้ไคที่ตอบผมเป็นคนแรกพลางทำท่าประกอบให้ดู คือนางเอกนมแม่งใหญ่จริงๆนะ เอาจริงๆควรฆ่าอินี่คนแรกอะแล้วแดกแม่ง แค่นมมึงก็อิ่มกันทั้งหมู่บ้านละ











“ชานยอลมึงไม่สบายเปล่าวะ “









“กูสบายดี เอาจริงๆควรฆ่าอิตุ๊ดเนี่ยคนแรก ดูท่ามันจะไร้ประโยชน์ที่สุด “ ผมชี้ไปที่เซฮุนที่นั่งเงียบอยู่นานแล้ว มันหันมามองผมแว้บนึงแล้วถอนหายใจใส่









“....”









“หรือไอเหี้ยนี่ปะ เค้าบอกเนื้อหมาดำอร่อยนะมึง แถวสกลนครอะ ป้ากูบอกมา ขายดีสัสๆ “ ผมชี้ไปที่ไอ้ไค มันยกตีนถีบขาผมทีนึง นี่ไม่ตลกนะ









“นอนเหอะว่ะ แม่งเพ้อเจ้อชิบหาย “







ทุกคนแยกย้ายกันไปนอนหมดเลย ทิ้งผมให้นั่งเอ๋อแดกยู่คนเดียว อะไรวะ คนจริงจังนะเนี่ย









.

.



“มึงนอนดีๆไม่ได้ไง้วะ “







ผมที่นอนกอดอกพิงกำแพงหลับอยู่หันไปด่าแบคฮยอนที่นอนเลื้อยไปเลื้อยมาอยู่ข้างๆ มันเอาแต่ครางห่าไรไม่รู้งุ้งิ้งๆอยู่ในลำคอชวนให้รำคาญหูเอามากๆ ผมผลักหน้ามันออกจากไหล่ หยีตามองดูนาฬิกาข้อมือ ตอนนี้ห้าทุ่มกว่าๆแล้ว มองไปที่ไอ้ไคกับไอ้ฮุนที่นอนพิงๆกันอยู่ตรงหลืบกรงลูกบาส มันก็ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไร









“กูนอนไม่หลับอะ มันไม่มีอะไรกอดแล้วกูนอนไม่ได้ “





“กอดขากูเนี่ยอะ กอดไปสัด แล้วนอนซะ “







ผมยื่นขาขวาให้มัน ก่อนที่คนตัวเล็กจะคลานลงไปกอดขาผมเอาไว้ นี่กูล้อเล่นนะเนี่ย แบคฮยอนเสือกกอดขาผมจริงๆซะอย่างนั้น ใบหน้าเนียนซบลงกับกระเป๋ากางเกงของผม เปลือกตาสวยปิดลงอีกครั้ง ผมกอดอก พิงกำแพง หลับตาตาม









“อือ .. “









และแล้วผมก็ต้องลืมตาขึ้นมาอีกครั้งหลังจากเพิ่งหลับไปได้ไม่นาน สัมผัสประหลาดปลุกให้ผมตื่นขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ ผมขบกรามแน่นพลางเหลือกตาขึ้นไปข้างบนเมื่อเห็นคนตัวเล็กที่กำลังกอดขาผมไว้ ใบหน้าของมันกลับซุกลงที่เป้ากางเกงของผมพอดี











แต่นั่นไม่เท่าไหร่ ไอ้เหี้ยนี่เสือกครางแล้วเอาหน้ามาถูๆเป้ากางเกงผมอีก ..











“แบค ..แบคเว้ย สัส มึงนอนดีๆดิวะ “









ผมตบแก้มมันเบาๆเพื่อปลุกให้ตื่น แต่นั่นดูเหมือนจะยากเกินไปหน่อย ไอเหี้ยนี่ปลุกยากอย่างกับอะไรดี ถ้ามันนอนหลับไปแล้ว อย่าหวังว่าจะได้ตื่นขึ้นมาง่ายๆ ต้องรอให้ไฟไหม้บ้านก่อน ไม่งั้นพี่แบคเขาไม่ตื่นหรอกครับ ท่าเขาเยอะ









“แบค .. “











ไอเหี้ย ผมนี่อยากจะร้องไห้ออกมาเป็นภาษาอินเดียมาก นอกจากมันจะไม่ยอมตื่นแล้ว มันยังครางข่มผมอีกด้วย ผมเขย่าตัวมันเบาๆ ก่อนจะตบกระบาลมันอย่างแรง มันก็ไม่ตื่น เอาจริงๆปะตอนนี้ผมทำตัวไม่ถูกเลย ท่าทางแบบนี้ของมันกำลังทำให้ผมคิดถึงโน๊ตบุ้คที่บ้าน











โถ่ไอสัด แล้วงี้ใครจะไปนอนลงวะเนี่ย ..










Kim jongin





ผมรู้สึกตัวตื่นขึ้นเนื่องจากความเมื่อยล้า หันไปมองไอ้ฮุนที่กำลังนอนกอดอกะพิงไหล่ของผมอยู่อย่างสบายใจเฉิบ มึงสบายอะแต่กูไหล่จะหลุดละ ยุงนี่แม่งก็เยอะเหลือเกินทีเดียวเชียว









“เพี้ยะ “









ผมยกมือขึ้นตบยุงที่บินมาวนแถวๆหน้าไอ้ฮุน ไม่รู้เหมือนกันว่าจะตบยุงให้มันทำไมทั้งที่ตัวผมเองก็โดนยุงกัดเยอะไม่ใช่เล่น คือยุงแม่งชุมมากแล้วก็ร้อนมากด้วย ผมถอนหายใจ.. ทำไมกูต้องมาติดอยู่ในนี้ด้วยวะเนี่ย











“เอี๊ยด ปึง! “









ได้ยินเสียงเลี้ยงลูกบาสดังมาจากกลางสนาม ผมหันไปตามต้นเสียง ไอ้ชานยอลกำลังเลี้ยงลูกวิ่งไปโยนลงห่วงอย่างสนุกสนาน มองนาฬิกาที่แขวนอยู่ตรงผนังยิม ตีสอง .. มึงมาเล่นบาสเหี้ยอะไรตอนตีสองวะเนี่ย









“อ้าวมึง ตื่นละอ่อวะ จอยกันปะ “









มันถาม ถือลูกบาสไว้ข้างเอว ผมหลุดขำพรืดเมื่อมองดูสภาพมันดีๆหลังจากที่ตื่นเต็มตาแล้ว ไอ้ชานยอลไม่ได้ใส่เสื้อ หรือแม้แต่กางเกงมันก็ไม่ได้ใส่ มันใส่แค่บ็อกเซอร์สีฟ้าลายสตอเบอร์รี่ตัวเดียว กับรองเท้าหนังที่เป็นเครื่องแบบของโรงเรียน และที่น่าขำยิ่งกว่า มันเสือกเอาเนคไทด์โรงเรียนมาคาดหัวเอาไว้ด้วย









“มึงเป็นเหี้ยไรอะเนี่ย “











ผมถาม มองมันตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม่กล้าขยับตัวแรงเพราะกลัวคนที่นอนพิงผมอยู่จะตื่น ไอ้ชานยอลไม่ตอบอะไร มันวิ่งไปชู้ตบาสต่อ ผมว่าแม่งแปลกๆตั้งแต่เย็นละ เหมือนคนสติไม่เต็มเต็งยังไงก็ไม่รู้





ผมเลิกสนใจไอ้เพื่อนปัญญาอ่อนนั่น หันไปมองแบคฮยอนที่นอนตายอยู่ใกล้ๆกัน แบคฮยอนนอนตะแคงหันมาทางนี้พอดี ใบหน้าของมันซุกอยู่กับเสื้อสีขาวที่ดูก็รู้ว่าเป็นเสื้อของไอ้ชานยอล สองแขนกอดเสื้อนั้นไว้แน่นพลางหลับตาพริ้มเชียว แถมมันยังนอนบนเสื้อนอกที่ไอ้ชานยอลปูไว้อีกนั่นแหละ









สองตัวนี้มันไม่ค่อยมีซัมติงกันเลยเนอะ สาส











จะว่าไปผมก็ไม่ค่อยเข้าใจความสัมพันธ์ของพวกมันสองคนเท่าไหร่นะ แม่งกัดกันทุกวันเลย อีกคนก็บอกรำคาญ อีกคนบอกเกะกะ คือมึงต่างรำคาญกัน แต่ก็กูไม่เคยเห็นพวกมึงจะห่างกันไปไหนเลย บางทีผมก็แอบเสียวเวลาแม่งหยอกกันแรงๆ ถึงขั้นหัวแตกเข้าโรงบาลเลยก็มีนะครับ แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เอาจริงๆแล้วพวกมันก็ดูแลกันดีจะตาย อาจจะเป็นเพราะเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็กก็ได้











ก็เหมือนผมกับไอ้ฮุนอะ ที่บ้านติดกัน เราตัวติดกันมาตั้งแต่อนุบาลแล้วครับ ถึงเราจะมีกันสี่คน แต่ว่าจะมีบางครั้งที่เราอยู่ด้วยกันแค่สองคน เพราะบ้านอยู่กันคนละทาง ไอ้ฮุนนี่ตอนเด็กๆแม่งขี้โรคชิบหาย แล้วนิสัยแม่งโคตรคุณหนูเลย ละมันมีอยู่ช่วงนึงที่บาร์บี้ระบาดอะ แม่งตุ๊ดไปเลย ผมโคตรกลัวเลยว่ามันจะเป็นกระเทย ผมก็เลยต้องดูแลมันดีๆ เพราะพ่อมันเป็นถึงทหารนายพลเชียวนะมึง ถ้าลูกเป็นตุ้ดคงภูมิใจแย่





“...”









ผมหัวเราะน้อยๆ หันไปเกลี่ยเส้นผมที่ลงมาปิดบังใบหน้าสวยนั้นให้อย่างแผ่วเบา อันที่จริงมันก็สวยแหละ แต่ผมไม่อยากให้แม่งเป็นตุ้ดเลย ถึงแม้ว่าผมจะชอบล้อมันว่าตุ้ดก็เถอะ ผมไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนั้นสักหน่อย











“...”











ผมได้แต่จ้องอยู่อย่างนั้นอย่างลืมตัว ใบหน้าที่เนียนสวยยิ่งกว่าผู้หญิง ผิวขาว แก้มใสที่แดงระเรื่อน้อยๆ แพขนตายาวเรียงสวย จมูกโด่งรั้น ริมฝีปากสีชมพูอ่อนน่าหลงใหลจนผมอิจฉา และรอยแผลเป็นจางๆที่แก้มขวา ..











ผมจำได้ดี เพราะผมนี่แหละที่เป็นคนพามันไปแหกโค้งตรงร้านส้มตำหน้าปากซอยตอนที่สอนมันขี่มอเตอร์ไซค์แรกๆ







แต่ถ้าไม่สังเกตดีๆมันก็ไม่เห็นหรอก ผมอุตส่าห์ทาฮีรูดอยให้มันเองกับมือทุกวัน











“มองเหี้ยไร “









ผมผงะไปเล็กน้อยเมื่อจู่ๆเปลือกตาสวยนั้นก็เปิดขึ้น ดวงตาไร้อารมณ์คู่นั้นจ้องกลับมาพร้อมกับเอ่ยถาม ผมยกยิ้ม ยกมือขึ้นเกาหลังคอพลางหัวเราะแก้เก้ออย่างที่ชอบทำ











“นอนเถอะ กูไม่ลักหลับมึงหรอกน่า “











ผมตอบ เซฮุนค้อนขวับเข้าให้ทีหนึ่ง แต่มันก็ยอมนอนลงแต่โดยดี ผมรั้งหัวเล็กให้ลงมาซบไหล่ตัวเองอีกครั้ง











เมื่อยไหล่ชิบหาย แต่ไม่เป็นไร ขอให้แม่งหลับสบายก็พอละ



___________________________________________

2 ความคิดเห็น: