“ก็ .. “
ผมขมวดคิ้ว ยืนกอดอกมองไอ้ฮุนที่ตอนนี้กำลังก้มหน้าหลุบตาลง แขนเล็กกอดผ้าห่มไว้แน่น เร็วๆสิวะไอสัด หนาวจะตายห่าอยู่ละ
“ก็ .. กู”
“ก็อะไรมึงก็พูดมาดิไอสัดเร็วกูหนาว”
ผมเร่ง ใจจริงอยากจะแย่งผ้าห่มที่แม่งกอดไว้มาห่มเองให้หายหนาว แต่ติดอยู่ที่ว่าเจ้าตัวกอดมันไว้ซะแน่น ผมย่ำเท้ากับพื้นไปมาเพื่อลดอาการสั่น สองแขนกอดอกตัวเองแน่น
“กูไม่ชอบที่มึง.. “
กริ๊งงงงงงงงงงงงง
ห่าเอ้ย
ยังไม่ทันที่ไอ้ฮุนจะได้พูดจบประโยค จู่ๆ โทรศัพท์บ้านก็ดังขึ้น ผมมองหน้ามันแวบนึงก่อนจะรีบวิ่งออกไปรับโทรศัพท์ที่หน้าร้าน
“ครับ โอเคครับเดี๋ยวไปส่งให้ครับ ..อ่าครับผม “
หลังจากจดที่อยู่ลงในสมุดจดแล้ว ก็พบว่าเป็นที่อยู่ของร้านสะดวกซื้อในซอยถัดไปนี่เอง ผมเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะ กวาดตามองหาคนงานที่ควรจะอยู่แถวๆหน้าร้าน แต่ก็ไม่พบ ผมเดินไปที่หลังร้าน รถบรรทุกขนาดเล็กที่ควรจะจอดอยู่ริมขวามือสุดกลับไม่อยู่ สงสัยพี่ไช้กับลูกน้องคนอื่นอีกคนสองคนจะออกไปส่งน้ำแข็งตามร้านค้าแล้ว
“เฝ้าร้านนะ เดี๋ยวกูมา “
บอกไอ้ฮุนที่เดินหอบผ้าห่มออกมาจากห้องเย็นแล้ว ผมเดินไปที่ท้ายสุดของร้านซึ่งเป็นห้องเย็นเล็กๆสำหรับเก็บน้ำแข็ง หยิบเสื้อคลุมที่แขวนอยู่ตรงราวบันไดมาสวมทับเสื้อยืด แล้วออกแรงยกกระสอบน้ำแข็งออกไปทางหน้าร้าน
“เอ้าไอห่าหลบสิวะ กูเย็น “
ตะโกนไล่คนหน้าบูดที่ยืนขวางอยู่ตรงทางเดิน ก่อนจะยกตีนเขี่ยๆมันไปทีหนึ่ง ไอ้ฮุนเซไปตามแรงถีบ ผมรีบเดินเอากระสอบน้ำแข็งไปไว้ตรงรถเข็นที่พ่วงไว้กับมอเตอร์ไซค์ก่อนที่ไหล่ขวาของผมจะชาไปเสียก่อน นอกจากจะเย็นแล้วมันก็หนักมากด้วยครับ
“รออยู่เนี่ยแหละไอสัด เรทราคาอยู่ในสมุดเล่มม่วงๆอะ แล้วก็น้ำแข็งอยู่ห้องในสุด ใครมาซื้อมึงก็จัดการเลย “
ผมตะโกนบอกไอ้ฮุนที่ยืนบื้อเป็นควายเผือกอยู่หน้าร้าน เลิกสนใจใบหน้าบูดบึ้งและแก้มที่พองลมออกน้อยๆให้เสียสมาธิ ก่อนจะรีบสตาร์ทรถแล้วขี่ออกไป
.
.
Byun baekhyun
Rrrrrrrrrr
ผมค่อยๆยื้อตัวขึ้นจากผ้าห่ม ควานมือไปตามหัวเตียงทั้งๆที่ยังคงหลับตา ห่าเอ้ยใครแม่งโทรมาเช้าขนาดนี้วะ เดี๋ยวพ่อด่าเสื้อไม่รีดเลย
ด่ายับ..
ไรอะ มุขไม่ผ่าน
“ฮัลโหล”
ผมกดรับสายโดยไม่ได้มองที่หน้าจอก่อนจะกรอกเสียงอึนๆใส่โทรศัพท์ พลิกตัวนอนคว่ำตะแคงหน้ากับหมอนแล้ววางโทรศัพท์ไว้บนหู ใจจริงอยากจะด่า แต่ติดที่ว่าความง่วงมันมีมากกว่า ผมเลยนอนอยู่อย่างเดิม
“(ไงมึง ตื่นยัง)”
เสียงทุ้มห้าวที่คุ้นหูทำเอาผมที่กำลังนอนอยู่แทบจะกลิ้งตกเตียง ไอ้หูกางชานยอลนั่นเองที่โทรมากวนเบื้องพระบาทผมแต่เช้า ผมขยับตัวซุกอยู่ใต้ผ้าห่มด้วยความขี้เกียจ เมื่อนึกขึ้นได้ว่าวันนี้จะต้องออกไปเยี่ยมมันที่โรงพยาบาล
“ยังมั้งไอสัด”
ตอบกวนตีนกลับไป เช้าขนาดนี้มึงจะโทรมาทำมะเขืออะไรหรอถามหน่อย
“(ตื่นได้ละ จะมาหากูกี่โมง ตอนนี้กูอยู่คนเดียวอะ แม่ไปทำงานละ)”
เสียงปลายสายตอบกลับมาเป็นประโยคยาวๆ ผมที่กำลังกึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่จึงต้องเงียบไปสักพักเพื่อทำความเข้าใจกับคำพูดของมันซะก่อน
“.. อืมเดี๋ยวกูอาบน้ำเสร็จไรเสร็จก็ออกไปละ แล้วนี่เสียงเหี้ยไรเนี่ย ”
พลิกตัวขึ้นนอนหงาย เหมือนจะตื่นได้เต็มตาแล้ว ผมค่อยๆลืมตาขึ้นช้าๆพลางบิดขี้เกียจ ได้ยินเสียงอะไรแปลกๆลอดมาจากปลายสาย
“(เยี่ยวอยู่อะ )“
“เหี้ยมึงก็เยี่ยวให้เสร็จละค่อยโทรมาปลุกกูก็ได้ปะ ทุเรศ”
“(ก็คิดถึงไงเลยโทรมาหาก่อน )“ มันตอบ ผมเงียบ ไม่รู้จะพูดอะไรออกไปดี
“...”
“(อยากให้มึงได้ยินกูเยี่ยว 5555555555555555555555 )“
เสียงหัวเราะของมันดังลั่นมาจากปลายสาย ผมถอนหายใจก่อนจะด่ามันไปเป็นชุด ถ้าทำได้ ผมอยากจะฝากส้นตีนผ่านคลื่นโทรศัพท์ไปประทับที่หน้าบานๆของมันจริงๆ
นอนกลิ้งไปกลิ้งมาอีกสักหน่อยก่อนจะลุกขึ้นไปอาบน้ำ ไม่นานนักผมก็ออกมายืนอยู่กลางห้องด้วยสภาพเนื้อตัวเปียกปอน แก้ผ้าเดินทั่วห้องโดยมีผ้าเช็ดตัวผืนเดียวคาดเอวไว้เท่านั้น เดินไปหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กมาเช็ดผมให้แห้ง
Rrrrrrrrrrrrrr
ยังไม่ทันจะได้แต่งตัว เสียงโทรศัพท์ที่หัวเตียงก็ดังขึ้นอีกครั้ง ผมถอนหายใจ ไอห่ารากนี่จะโทรเร่งอะไรนักหนาวะ
“เหี้ยไร “
หยิบไอโฟนขึ้นมากดรับโดยที่ไม่ทันได้สังเกตว่าไม่ใช่เบอร์ไอ้ชานยอล ก่อนที่เสียงปลายสายจะตอบกลับมา เป็นเสียงติดดุหน่อยๆเอ่ยปราม หน้าผมแทบจะหดเหลือสองนิ้ว ยกมือขึ้นเขกหัวตัวเองเป็นการลงโทษในความบื้อไปหนึ่งที เชี่ย เจ็บ
“อ่า ..ได้ครับ “
ผมตอบกลับไปอีกครั้งก่อนจะวางสาย เป็นอาจารย์ประจำชั้นนั้นเองที่โทรมาในยามเช้าตรู่ขนาดนี้ เอาจริงๆครูควรจะรู้เวล่ำเวลามั่งนะครับว่ามันควรหรือไม่ควร วันเสาร์มันก็ควรจะได้นอนอย่างเต็มที่ดิ ไม่ใช่เอะอะโทรๆ กูไม่ใช่หนึ่งเก้าหนึ่งนะไอสาด
แต่ก็ทำได้แค่ด่าพ่อครูในใจเท่านั้น เอาจริงๆอาจารย์คนนี้ก็น่ากลัวใช่เล่น และผมไม่อยากจะเอาชีวิตและเกรดอันน้อยนิดต่ำเตี้ยเรี่ยดินของตัวเองไปเสี่ยง ผมเดินไปที่เตียง หยิบชุดที่เลือกมาในตอนแรกไปเก็บในตู้ แล้วเอาชุดนักเรียนมาใส่แทน เป็นอันว่าวันนี้คงจะต้องไปโรงเรียนก่อน
.
“ครูฝากด้วยละกัน ทั้งหมดกองนี้ของชานยอลหมดเลย ถ้าไม่รีบส่งภายในวันพรุ่งนี้คงหมดสิทธิ์สอบมิดเทอม ช่วยเอาไปให้เขาทีนะ เพราะเดียววันจันทร์นี้ครูต้องส่งคะแนนให้ทางโรงเรียนแล้ว “
ผมพยักหน้ารับก่อนจะโค้งให้อาจารย์ที่นั่งอยู่ รวบเอากองการบ้านทั้งหมดของไอ้ชานยอลออกจากห้องพักอาจารย์แล้วหอบไปวางไว้บนโต๊ะในห้องสมุด ไอห่าจิก อิกองนี้ไม่ใช่น้อยๆนะ อย่างน้อยต้องมีถึงหนึ่งอาทิตย์ที่แม่งหยุดเรียนไปอะ ไหนจะงานค้างของมันอีก อิห่านี่มันดองงานมาตั้งแต่สมัยพระยาพิเพก ดองแม่งทุกงานจนกองเป็นภูเขาเลากาละ ผมถอนหายใจ ยืนกอดอกมอง จะทำยังไงกับอิกองการบ้านนี้ดีวะเนี่ย
ถ้าเอาไปให้มันทำ ปกติเวลาที่มันสบายดีแม่งยังควายทำไม่เป็นสักข้อ ผมก็ต้องมานั่งสอนแม่งอีก แต่นี่เสือกป่วยด้วย ถ้าผมเอาไปให้มันทำมีหวังได้ตายห่าคากองการบ้านนี่แน่ๆ แถมผมคิดสภาพตัวเองไม่ออกเลยถ้าจะต้องแบกอิกองเหี้ยนี่ขึ้นรถเมล์ในสภาพวันที่คนเยอะๆแบบนี้ บอกเลยว่าหล่อไม่ไหวครับ
ตรื้ด..
ในเมื่อคิดอะไรไม่ออก ผมกดโทรศัพท์โทรหาไอ้ไคกับไอ้ฮุนแต่ก็ไม่มีใครรับ ไอ้ไคไม่รับนี่ไม่น่าแปลกอยู่หรอกเพราะมันไม่พกโทรศัพท์ แต่อิแรดไม่รับนี่น่าแปลก หรือแม่งจะหนีเที่ยวกันสองคน แม่งก็เป็นแบบนี้ตลอดเลย ชอบทิ้งให้ผมอยู่รับกรรมกับไอ้ช้างแอฟริกานั่นตลอด
“เอาวะ นี่ถ้าไม่รักมึงนี่กูไม่ทำให้เลยนะไอสัด “
ผมพูดคนเดียวในหลืบห้องสมุดที่มีแค่ผมและอาจารย์บรรณารักษ์ ก่อนจะถกแขนเสื้อนักเรียนขึ้น ค้นเอาปากกาแท่งหนึ่งในกระเป๋าเป้ออกมาก่อนจะจัดการกับการบ้านเล่มแรก เล่มที่สอง และเล่มต่อๆไป ..
.
.
“เหี้ยยยยย “
ผมร้องเรียกชื่อไอ้ยอลยาวด้วยความเหนื่อยล้าหลังจากเสร็จไปแล้วครึ่งกอง เอนตัวพิงกับพนักพิงเก้าอี้ไม้แข็งๆในห้องสมุด สองมือยกขึ้นชูในอากาศพลางบิดขี้เกียจไปมาด้วยความเมื่อยล้า ยกมือขึ้นมานวดๆเพื่อบรรเทาความปวด แม่งเยอะมากเหลือเกิน ทำวันนี้จะเสร็จไหมไอสัด อิห่านี่ก็สั่งการบ้านเยอะเหลือเกิน ไม่รู้จะสั่งทำไมนักหนา ผมก็ไม่เคยเห็นแม่งตรวจเลยสักครั้ง สั่งส่งเดชไปเรื่อย ว่างมากนี่จารย์ควรจะไปหาไรที่สร้างสรรค์กว่านี้ทำอะครับ จะได้เป็นประโยชน์ต่อสังคมบ้าง พวกผมจะได้มีเวลาว่างไปทำอย่างอื่นบ้างไรเงี้ย
ครืดด
ยกมือกุมท้องที่ร้องโครกครากประท้วงด้วยความหิว ก็แน่อะ ผมยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เช้า ยกแขนดูหน้าปัดนาฬิกาข้อมือก็พบว่าตอนนี้เป็นเวลาบ่ายสามโมงกว่าแล้ว นี่ผมนั่งทำการบ้านอยู่ตรงนี้มากว่าสามชั่วโมงแล้วหรอเนี่ยอิเหี้ย นี่คนหรือแรด ทำไมทนอึดได้ขนาดนี้
จะว่าไปแล้วก็ไม่ควรจะด่าตัวเอง ผมอาจจะลืมตัวไปว่าตัวเองไม่ใช่แรด เพราะอีพวกสามตัวนั้นแม่งชอบเรียกผมอิแรดๆตลอดเลย อันนี้ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าผมแรดอะไรตรงไหน เอาจริงๆผมแมนกว่าพวกแม่งอีก ผมเคยหลุดกริ๊ดแบบไอ้ฮุนไหม ก็ไม่มี ผมกลัวผีขี้ขึ้นสมองไหม ก็เปล่า ผมยังไม่เคยจีบปากจีบคอแบบไอ้ไคเวลามันล้อไอ้ฮุนเลย
และอันนี้เด็ดสุด .. ผมไม่เคยประกวดขวัญใจโรงเรียนแบบไอ้ชานยอลด้วย..
ภาพนั้นยังคงติดตามาจนถึงทุกวันนี้ เมื่อตอนอยู่มอต้น เป็นธรรมเนียมของโรงเรียนที่นักเรียนมอต้นปีสุดท้ายจะต้องทำโปรเจ็กต์แปลกๆให้ฮือฮากันเป็นสีสันของงานฟุตบอลประเพณี หลังจากที่พวกเราห้องหกได้ทำการคัดเลือกนักฟุตบอลประจำทีมแล้ว นอกจากนี้ยังต้องมีคนเดินขบวนพาเหรดก่อนเปิดงาน โดยคนที่เป็นคนเดินนำขบวนคือไอ้ชานยอล เพื่อนสนิทของผมเอง
อันที่จริงด้วยใบหน้าที่คล้ายคลึงกับสตรีเพศของผม อันนี้หล่อก็ไม่ได้อยากมีเหง้าหน้าแบบนี้เหมือนกันครับ แต่ทำไงได้แม่ให้มา ที่จริงแล้วเป็นผมเองที่ได้รับเลือกในการเดินนำขบวนโดยให้แต่งหญิงเพื่อเรียกเสียงฮือฮาเอาคะแนนสำหรับการประกวดขบวนพาเหรด ผมโบ้ยไปให้ไอ้ฮุนแต่เพื่อนในห้องไม่มีใครยอม แถมเจ้าตัวก็ไม่ยอม ผมซึ่งโดนบังคับก็ต้องจำใจเป็นตุ้ดชั่วคราวอย่างเสียไม่ได้
แต่คืนก่อนวันงานประเพณี ผมก็ไปขอร้องไอ้ยอลจนมันยอม อันที่จริงมันก็ไม่ยอมอะ แต่ผมไปทำอิท่าไหนมันถึงยอมนี่ผมก็จำไม่ได้แล้วเหมือนกัน ตอนเช้าเราวุ่นกันมากครับ ต้องตื่นตั้งแต่เช้ามืดมาแต่งหน้าแต่งตัวให้มัน จำได้ว่าผมเป็นคนช่วยมันแต้บไข่เพื่อที่จะได้ใส่เดรสสีขาวที่ข้างหน้าแหวกสั้นปิดไข่ลงมานิดเดียวได้อย่างแนบเนียน ละแม่งก็บ่นว่าใหญ่ๆๆๆๆ อึดอัดๆ อยากจะรู้นักของมันจะใหญ่ได้เท่าผมรึเปล่า
“อ้าว แบคฮยอน มาทำอะไรที่โรงเรียนวันหยุดละเนี่ย”
ผมสะดุ้งหลุดจากภวังค์ ดึงตูดปากกาที่อมไว้ออกจากปากแล้วเงยหน้าขึ้นมองอาจารย์ประวัติศาสตร์คนสนิท ผมได้แต่ยิ้มแหยๆกลับไป อาจารย์มองหน้าผมสลับกับกองการบ้านแล้วก็ต้องร้องอ๋อออกมา อันที่จริงอยากจะบอกใจจะขาดว่าไม่ใช่การบ้านกูครับ แง
เวลาล่วงเลยไปกว่าสามชั่วโมง ผมที่ตอนนี้ย้ายจากโต๊ะตรงหลืบห้องสมุดมานั่งหน้าคอมเพื่อหาข้อมูลก็ลุกขึ้นมายืดเส้นยืดสาย อีกแค่สองหน้าและเหลือปริ้นงานอีกสองสามแผ่นเท่านั้นก็จะเป็นอันเสร็จ
Rrrrrrrrrrrrrr
รู้สึกเหมือนโทรศัพท์มือถือของผมที่วางอยู่บนกองการบ้านจะสั่น แต่ผมไม่มีแก่ใจจะรับ ผมรีบรัวนิ้วลงบนแป้นพิมพ์อย่างรีบร้อน อีกนิดเดียวก็จะเสร็จแล้ว นิดเดียวเท่านั้น
“ไอเหี้ยยยยยยยย เสร็จแล้วโว้ยยยยยยยย “
ตะโกนลั่นห้องสมุดจนลืมนึกไปว่าเขาห้ามไม่ให้ส่งเสียงดัง น่าแปลกที่อาจารย์บรรณารักษ์กลับไม่เอ่ยเตือนอะไร ปกติแล้วเวลาผมกับพวกไอ้ไคมาเนียนตากแอร์ในห้องสมุดแล้วเม้ามอยเสียงดังอาจารย์แกก็จะแรปใส่ทุกที ผมกวาดตามองไปรอบๆห้อง หยิบไอโฟนใส่กระเป๋ากางเกง ก่อนจะรวบงานทั้งหมดไว้ในมือ แล้วลุกออกไปเงียบๆ
กึก..
เลื่อนมือไปเปิดที่บานประตูก็พบว่ามันล็อค ผมถลึงตาโตด้วยความตกใจก่อนจะออกแรงดึงมันอีกครั้ง ..มันถูกล็อคจากด้านนอก
“ชิบหายละ”
ผมสบถกับตัวเองด้วยถ้อยคำสุภาพกินใจ เมื่อหันไปตรงเคาท์เตอร์แล้วไม่พบอาจารย์บรรณารักษ์ที่ควรจะนั่งหน้าสลอนอยู่ตรงนั้น ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูก็พบว่านี่มันทุ่มกว่าแล้ว ซึ่งตึกทุกตึกจะปิดเวลาหกโมง.. ปิดหกโมง
“อิเหี้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย”
ผมตะโกนลั่นห้องสมุดแล้วเขย่าประตูอย่างบ้าคลั่งโดยไม่กลัวว่าผีสางหรือวิญญาณที่อยู่ในนี้จะตกใจในน้ำเสียงอันทรงพลังของผมเลยแม้แต่น้อย ห่าราก อาจารย์บรรณารักษ์ อาจารย์ทรราชนั่นทิ้งผมไว้ เขาขังผมไว้ในห้องสมุดสับปะรังเคนี่หรอ คือมึงปิดประตูโดยที่ไม่รู้ว่ามีคนอยู่ข้างในงั้นหรอ นี่มึงทำงานสะเพร่าไปรึเปล่าเนี่ย เอะอะจะกลับบ้านลูกเดียวเลยใช่ไหม นี่นอกจากมานั่งแดกเงินเดือนฟรีตากแอร์เย็นๆในห้องสมุดโดยที่วันๆไม่ทำอะไรนอกจากด่านักเรียนแล้ว มึงยังขังกูไว้ อิเหี้ยอย่าให้กูออกไปได้นะ กูจะเอาได้นาไมท์ไปบึ้มบ้านแม่งคอยดูสาสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสส
.
ผมทิ้งตัวลงนั่งลงที่พื้นด้วยความเซ็งจิต หันไปนั่งคุยกับกองการบ้านที่วางอยู่ที่พื้นข้างๆเพื่อขอความคิดเห็น อิกองนั้นเงียบ มันไม่ตอบอะไรผมนอกจากแผ่นกระดาษที่ปลิวไปมาตามแรงลมเบาๆ ลมก็ไม่มี หน้าต่างทุกบานก็ปิด แต่กระดาษทำไมถึงปลิวได้ก็ไม่รู้
“เอาไงดีวะเนี่ย “
ผมมองนาฬิกาข้อมืออีกครั้ง ก่อนจะสอดส่องมองหาทางออกทางอื่น ผมวางกองการบ้านไว้ตรงเคาท์เตอร์แล้วลุกออกไปช้าๆ เดินเลาะไปตามหน้าต่างแต่ละบาน ถ้าออกทางประตูไม่ได้คงต้องออกทางหน้าต่างละถ้างั้น
“โหยแม่ง สูงไปปะวะ “
และแล้วก็เจอบานหน้าต่างที่พอจะโดดลงไปได้ แต่ถึงยังไงมันก็ยังสูงเกินไปสำหรับผมอยู่ดี ผมแง้มบานหน้าต่างออก ชะโงกหน้าลงไป ถ้าผมโดดจากตรงนี้ก็เท่ากับว่าผมโดดตึกสามชั้นดีๆนี่เอง คือถ้าโดดลงไปแล้วตายนี่ยังไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าโดดแล้วพิการนี่มันไม่คุ้มกันเลยจริงๆ
“เอาไงดีวะ”
ผมจิกทึ้งหัวตัวเองด้วยความเครียด ก่อนจะหยิบไอโฟนขึ้นมาเพื่อโทรหาใครสักคน แต่แล้วก็ต้องน้ำตาเล็ดเมื่อพบว่าแบตมันหมดไปเสียก่อน ผมเก็บไอโฟนลงกระเป๋าอีกครั้ง เดินข้ามไปอีกฟากของห้องสมุด
เค้าว่าห้องสมุดโรงเรียนเรานี่ผีดุยิ่งกว่าห้องพยาบาลอีกนะมึง
และเมื่อมองลงไปจากมุมนี้ ข้างๆกันถัดจากริมทะเลสาบขนาดเล็กที่อยู่ในเขตพื้นที่ของบ้านเศรษฐีนีคนหนึ่งคือห้องพยาบาล ไฟทุกดวงดับสนิท เหลือเพียงไฟสลัวๆตรงสวนหย่อมริมทะเลสาบนั้นเท่านั้น ผมเสตาหลบ เอาจริงๆผมก็ไม่ได้กลัวผีหรอก แต่พอมาคิดว่าตัวเองอยู่คนเดียวในโรงเรียนใหญ่ๆมืดๆนี่ผมก็หวั่นใจได้เหมือนกันนะ
ผมเปิดหน้าต่าง ชะโงกหน้ามองลงไปยังท้องน้ำลึกที่ไหวน้อยๆ ..
จะให้โดดลงไปอ่อวะ ..
เคยมีเด็กนักเรียนจมน้ำตายที่ทะเลสาบตอนวันงานโรงเรียนเมื่อหกปีก่อนด้วยนะมึง ละแบบ จนตอนนี้ยังงมศพไม่เจอ ..
เสียงไอ้ไคขาประจำที่ชอบเล่าเรื่องผีดังขึ้นมาในหัวผมอีกครั้ง ถ้าวันนี้ผมออกไปได้ แน่นอนเลยว่าฮับคิโดที่ผมอุตสาหะพากเพียรเล่าเรียนมาตลอดห้าปีนั้น ผมจะได้ใช้แบบจริงจังกับมันเป็นคนแรกแน่ๆครับ
....
เสียงลมจากทะเลสาบที่ลอยขึ้นมาปะทะเบ้าหน้าเบาๆเรียกขนอ่อนให้ลุกเกรียวทั้งร่าง ผมรีบปิดหน้าต่างแล้วเดินไปทางอื่น ลองให้ไอ้ยอลมาติดแหง็กอยู่แบบผมมั่งดิ แม่งร้องไห้แน่ๆ
“ผีครับ ถ้าผีที่นี่มีจริง ช่วยให้กูออกไปได้ที ถ้ากูออกไปได้นะ กูกับเดอะแก็งค์ทั้งสี่จะยอมมาวิ่งแก้บนรอบโรงเรียนตอนกลางคืนเลยเอ้า “
พรึ่บ ..
“เหี้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย”
พอผมพูดจบปุ้บ อิห่าไฟดับ ผมตัวแข็งทื่อทันที พยายามเบิกม่านตาให้กว้างที่สุดเพื่อมองหาที่พึ่งในความมืด สองมือควานสะเปะสะปะไปทั่ว ผมรู้สึกตอนนี้ขนแขนสแตนอัพแบบปั้ปปิ้งแดนซ์เลยอะครับ ยอมรับเลยว่าตอนนี้กลัวนิดๆ นิดเดียวเท่านั้น จากไม่เชื่ออาจจะเชื่อหน่อยๆ อันนั้นผมไม่ได้ลบลู่นะเว้ย ผมก็แค่ลองพูดดูอะแง อย่ามาหลอกกันเลยนะครับ
กริ๊ก ..
และแล้วไฟทั้งห้องก็สว่างจ้าอีกครั้ง เมื่อผมคลำมือไปถูกคัตเอาท์เข้า สงสัยไฟจะตก ผมถอนหายใจอย่างโล่งอกแล้วกวาดตามองไปรอบๆห้องสมุดอีกครั้งอย่างหวาดระแวง
“เฮ้ย .. “
ผมร้องออกมาอย่างตกใจ แต่ก็ไม่ได้เสียงดังอย่างเมื่อกี้ มองไปตรงข้างหน้าต่างริมฝั่งทะเลสาบ ผมจำได้ว่าก่อนที่ไฟจะดับผมยืนอยู่ตรงนั้นแท้ๆ แล้วผมมายืนอยู่ตรงเคาท์เตอร์ติดกับประตูทางออกนี้ได้ไงวะ .. ในเมื่อมันห่างกันตั้งเป็นสิบตู้หนังสือ
หรือว่าผีห้องสมุดจะมีจริง ..
แค่คิดกูก็ขนลุกเกรียว ผมลองเดินเข้าไปอีกฟากของเคาท์เตอร์ บิดลูกบิดประตูบานเล็กที่ปกติอาจารย์บรรณารักษ์จะใช้เข้าออกห้องสมุดอยู่เป็นประจำ แล้วก็พบว่ามันไม่ได้ถูกล็อคจากด้านนอก ทันทีที่เสียงปลดล็อคของลูกบิดประตูดังขึ้น ผมยิ้มออกมาอย่างใจชื้น ไม่รอช้าวิ่งไปหยิบกองสมุดการบ้านของไอ้ยอลแล้ววิ่งสี่คูณร้อยลงจากตึก
.
.
“แฮ่ก! .. “
พอเอาสมุดการบ้านทั้งหลายแหล่ไปวางกองไว้หน้าห้องพักครูแล้ว ผมก็รีบวิ่งออกมาจากหน้าโรงเรียน สองมือยันเข่าไว้พลางหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน ยกหลังมือขึ้นปาดเหงื่อที่ไม่รู้ว่ามาจากความเหนื่อยหรือความกลัวกันแน่
“อ้าวหนุ่ม ว่าไง อ่านหนังสือในห้องสมุดเพลินล่ะสิ รีบๆเลยลุงจะปิดประตูแล้ว “
ผมเงยหน้าขึ้น เห็นลุงยามคนเดิมเอ่ยทัก ท้องฟ้ามืดครึ้มทำให้เห็นอะไรไม่ค่อยชัดนัก ลุงแกลากประตูลูกกรงเหล็กบานใหญ่หน้าโรงเรียนปิดลง เหลือเพียงทางออกเล็กๆไว้แล้วยืนกวักมือเรียกผม ผมรีบเดินออกไป
“เอ้อแล้วรีบโทรตามอิหนูเพื่อนเราที่ยืนอยู่ริมหน้าต่างลงมาสิ นั่นน่ะ เร็วๆลุงรีบกลับบ้าน “
ผมเบิกตากว้าง หลังตรงตัวแข็งทื่อ ความเหนื่อยหายไปเป็นปลิดทิ้ง ไม่กล้าแม้แต่จะหันหลังกลับไปมองที่หน้าต่างห้องสมุดชั้นสาม
อิหนูไหนวะ ก็กูมาคนเดียว ..
“โชคดีนะลุง ผม .. ไปละ บ้าย“
“อะอ้าว .. เฮ้ย “
ผมรีบขึ้นคร่อมจักรยานคิตตี้คู่ใจแล้วแว๊นออกไปทันที เสียงลุงยามตะโกนไล่หลังมา แต่ผมไม่ได้สนใจมันอีกแล้ว
.
.
Park chanyeol
ผมโยนไอโฟนลงบนโต๊ะข้างเตียงโดยไม่ใส่ใจมันอีก หลังจากที่พยายามโทรตามแบคฮยอนตั้งแต่เมื่อเย็น จนตอนนี้สามทุ่มละ แม่งไม่รับสายผมสักสาย อันที่จริงผมไม่ได้เป็นคนชอบเซ้าซี้หรือเร่งคนอื่นเลยนะ แต่แม่งก็น่าจะรู้ว่าผมกลัวผีอะ ผมไม่ชอบอยู่คนเดียว คือมึงจะไม่มาก็น่าจะโทรมาบอกกูดีๆดิวะ
ผมกดรีโมทเปลี่ยนช่องรายการทีวีไปเรื่อยๆ เบือนหน้าหนีจากจอโทรทัศน์เดิมๆที่มีแต่ข่าวและสารคดี การ์ตูนแม่งไม่มีให้ดูมั่งเลยไงวะ มีแต่อะไรก็ไม่รู้น่าเบื่อชิบหาย
“แกร๊ก .. “
ผมรีบลุกขึ้นนั่งแล้วมองไปยังประตูห้องที่ถูกเปิดออกอย่างมีความหวัง แต่ก็ไม่เจอคนที่ผมกำลังรอ พี่พยาบาลคนเดิมเดินเข้ามาพร้อมกับเข็นถาดยาเข้ามาเป็นรอบที่สามของวัน ผมเบือนหน้าหนี เบื่อยาเต็มทน
“ทานยาก่อนนอนด้วยนะคะ “
เธอบอกเท่านั้น เข็นถาดยามาไว้ข้างเตียง ยื่นแก้วน้ำใส่หลอดให้ผม ผมรับยามากินอย่างว่าง่ายแม้ในใจจะอยากโยนมันทั้ง ถ้าหม่ามี๊อยู่ อย่างน้อยก็ยังมีคนอยู่เป็นเพื่อนในตอนกลางคืนแบบนี้
“วันนี้ไม่มีคนมาเฝ้าหรอคะ ? “
“อ่า คงงั้นแหละครับพี่ “
“นอนคนเดียวกลางค่ำกลางคืนระวังนะคะ คิก..“
พี่พยาบาลคนที่ผมเคยเรียกว่าสวยนั้น พูดเย้าก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างมีจริต มันอาจจะดูน่ารักน่าหยิกสำหรับใครหลายคน แต่สำหรับผมแล้ว ตอนนี้หล่อขอบอกเลยว่ามันดูไม่ประเทืองลูกตาเอาเสียเลย อิห่ารากนี่จะย้ำทำไม ก็เห็นอยู่ว่าไม่มีใคร แล้วยังมีหน้ามาหัวเราะ คิกพ่อง เดี๋ยวกูยิงนมสั่น
“อย่าลืมพักผ่อนให้ตรงเวลานะคะ จะได้หายไวๆ พี่ปิดไฟให้เลยนะคะ“
“มะ! .. “
ไม่ต้องปิดครับ ..
อิห่ารากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
ไม่ทันแล้ว ไฟทั้งห้องดับลงด้วยน้ำมืออิป้านั่น ก่อนที่หล่อนจะเข็นรถเข็นที่มีถาดยาและแก้วน้ำเปล่าออกไป สะโพกงอนงามที่บิดไปมายามเธอก้าวเดินนั้นไกลออกไปทีละนิด ก่อนจะหายไปจากห้อง ผมหันกลับมามองทีวีอีกครั้ง ภาวนาขอให้ใครสักคนก็ได้มาหาผม
“เหี้ย! “
ผมตะโกนลั่นห้อง รีบควานหยิบรีโมทบนเตียงซึ่งผมเองก็ไม่รู้ว่าเอาไปวางไว้ไหนมากดเปลี่ยนช่อง เมื่อเห็นโฆษณาผีที่แม่งชอบออกมาตอนกลางคืนให้หลอนเล่นบ่อยๆ ผมยกผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปง ปิดหู หลับตาปี๋ ผมไม่ชอบอะไรแบบนี้เลยจริงๆ
จนเวลาล่วงเลยไปกว่าสองชั่วโมง ผมซึ่งยังคงนอนไม่หลับได้แต่พลิกตัวไปมาภายใต้ผ้าห่มผืนหนา เสียงภายนอกที่เงียบอยู่แล้วยิ่งเงียบหนักเข้าไปอีก ผมยกมือขึ้นปาดเหงื่อบริเวณลำคอ ร้อนมากๆ แต่ผมไม่กล้าแม้แต่จะโผล่หน้าออกไปจากผ้าห่ม รีบกดโทรข้ามประเทศไปหาแม่
“(ครับลูกชาย ทำไมป่านนี้ยังไม่นอนอีกหืม เดี๋ยวไม่หายนะครับ)” ไม่นานปลายสายก็ตอบกลับมา ผมได้ยินเสียงแม่ไม่ค่อยชัดเท่าไหร่
“หม่ามี๊ ไม่มีใครอยู่ด้วยเลย หนูไม่ชอบเลย “ ผมตอบเสียงสั่น มันยากมากๆที่จะไม่อ่อนแอแล้วอยู่กับแม่
“(อ้าว แล้วแบคฮยอนล่ะครับ)”
“แม่งตายห่าไปแล้วมั้ง โทรไปเป็นล้านสายละก็ไม่รับ “ ผมตอบ นึกถึงหน้าไอหมานั่นลอยมาละแม่งอยากจะโกรธมันสิบชาติ
“(นอนได้แล้วนะครับลูกชาย หม่ามี๊ต้องเข้าประชุมแล้ว แค่นี้ก่อนนะครับ )“
“แม่! “
และยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไรไปมากกว่านั้น สายก็ถูกตัดไป ผมถอนหายใจ รู้สึกแย่ขึ้นกว่าเดิมอีกสามล้านเท่า
เพล้ง!
เสียงเหมือนแก้วแตกดังอยู่ไม่ไกล ผมเกร็งตัวจนเจ็บ แสงจากหน้าจอไอโฟนดับไปแล้ว ผมกลอกตาในความมืด ก่อนจะปิดตาลงแล้วได้แต่สวดมนต์อยู่อย่างนั้น ขอให้เช้าเร็วๆ ขอให้ผมหลับเร็วๆ
ตึก.. ตึก ..
ได้ยินเหมือนเสียงฝีเท้าอยู่ใกล้ๆ ผมทำได้แค่เพียงกำโทรศัพท์ไว้แน่น ไม่กล้าออกไปจากผ้าห่ม ในใจได้แต่สวดภาวนา เอาจริงๆน่าไปทำงานเป็นผู้ช่วยสันตปาปา เพราะสมองที่มีทั้งหมดเสือกเอาไว้จำบทสวดมนต์หมดละ
ตึก.. ตึก ..
เสียงนั้นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ใกล้เข้ามาจนเหมือนจะชิดกับตัวผมก่อนจะเงียบลง ผมนอนเงียบๆ หายใจให้เบาที่สุดแล้วเงี่ยหูฟังท่ามกลางความมืดในผ้าห่ม
“แฮ่!”
“อ้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!”
เสียงอะไรบางอย่างดังขึ้นก่อนที่ผ้าห่มที่ผมห่มคลุมโปงอยู่จะถูกกระชากออกอย่างแรง ผมร้องลั่นพลางหลับตาปี๋ ผีหลอก อิเหี้ย ผีหลอกจริงๆด้วย ผมรู้สึกเหมือนฉี่จะแตก แต่ยังมีสติพอที่จะอั้นมันไว้ได้ สองมือที่สั่นเทายกขึ้นพนมเหนือหัว
“อย่าทำไรผมเลยผี ถ้าจะหลอก ไปหลอกอิห้องข้างๆเหอะ “
“สัดชานยอล กูเอง”
ผมค่อยๆลืมตาขึ้นช้าๆ ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เมื่อมองดีๆแล้ว ใบหน้าที่คุ้นเคยนั้นทำให้ผมต้องยกตีนขึ้นยันมันไปหนึ่งที คนตัวเล็กหลบได้ ก่อนจะเดินไปเปิดไฟให้สว่าง ผมหยีตาด้วยความไม่คุ้นชิน
“มาทำเหี้ยไรเอาป่านนี้ จะไปไหนก็ไปเลยไอสัด”
“เอ้า ก็กูก็มาละนี่ไง “ มันตอบ เดินไปวางถุงอาหารไว้บนโต๊ะแล้วจัดการเทใส่จาน
“มาเหี้ยไรตอนนี้อะ มึงก็รู้ว่ากูกลัวผี ละกูโทรเป็นร้อยสายละมึงเสือกไม่รับ คือไม่อยากมาก็บอกกูดีๆก็ได้ปะ “ ผมลุกขึ้นนั่ง รู้สึกเหมือนตัวเองใกล้จะยืนขึ้นเต็มทน มาช้าละยังเสือกมาหลอกผีกูอีก พ่อไม่ถีบให้ก็บุญละ
ได้ข่าวว่าถีบแต่ไม่โดน
“มึงเงียบปากไปชานยอล อย่ามาหาเรื่องว่ะ กูเหนื่อย “ มันตอบทั้งๆที่กำลังเคี้ยวข้าวอยู่เต็มปากจนกระเด็นออกมาเล็กน้อย
“อ่อเดี๋ยวนี้พูดกับกูแบบนี้ เหนื่อยนักก็ไม่ต้องมาดิ มึงกลับบ้านไปเลยไป “
ผมตะโกนใส่หน้ามันแล้วกระแทกตัวลงกับเตียงแล้วพลิกตัวนอนตะแคงหันหลัง ขบกรามแน่นเพื่อสกัดกลั้นอารมณ์หงุดหงิด
“อ่อไอสัดได้ ได้เลย งั้นมึงนอนกะผีไปละกันไอเหี้ย “
มันตะคอกกลับ ผมได้แต่นอนตะแคงกอดอกลืมตาฟัง ก่อนเสียงปึงปังจะดังขึ้นแล้วตามด้วยประตูที่ถูกปิดลงอย่างแรงจนผมสะดุ้ง
หันไปอีกที ทั้งห้องกลับมาว่างเปล่าอีกครั้ง ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วทึ้งหัวตัวเองแรงๆครั้งหนึ่ง โอ้ยห่า ไม่น่าไปพูดแบบนั้นเลย แล้วทีนี้ก็ต้องนอนคนเดียวอีกแล้วใช่ปะ แม่งงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง
.
ตรื้ด...
หลังจากที่อยู่กับตัวเองมาพอสมควรจนทิฐิลดลงไปมากแล้ว ผมกดโทรศัพท์หาแบคฮยอนอีกครั้ง คราวนี้มันปิดเครื่อง ผมถอนหายใจพลางนอนหงายเอาแขนก่ายหน้าผากไว้ ไอเหี้ยทำไงดีอะ
“โอ้ยแม่ง ก็ได้วะ “
ผมค่อยๆยันตัวลุกขึ้นแล้วเดินลากสายน้ำเกลือออกไป ความเจ็บจิ๊ดแล่นขึ้นมาในหัวเนื่องจากวันนี้ผมแทบไม่ได้หลับ จนตอนนี้ก็ปาเข้าไปเที่ยงคืนกว่าแล้ว หวังว่าแบคฮยอนจะยังอยู่แถวๆนี้ ขอให้มันยังไม่กลับบ้าน
“แกร๊ก .. “
เปิดประตูแล้วชะโงกหน้าออกไปมองตามทางเดิน มันสว่างแต่เงียบสนิท ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดใดอาศัยอยู่เลย แม่งหลอนเหี้ยๆ นึกถึงหนังผีที่เคยดูแล้วผมอยากจะกลับไปนอนที่เดิมมากๆ แต่ด้วยความกลัวที่มีมากกว่า ผมปลอบใจตัวเองให้หายสั่นแล้วค่อยๆเก้าเท้าออกไป มีเพียงเสาน้ำเกลือเท่านั้นที่อยู่เป็นเพื่อนผมในยามนี้
“หาไรมึง “
“หา.. เอ่อ “
เสียงเล็กที่คุ้นหูดังมาจากข้างๆประตู ผมที่หันกลับไปก็ต้องตกใจ .. แบคฮยอนแม่งนั่งจกส้มตำอยู่ตรงพื้นข้างๆประตูห้องของผมนี่เอง ผมยิ้มกว้างออกมาอย่างดีใจก่อนจะยกมือขึ้นมาเกาท้ายทอยแก้เก้อด้วยอาการที่ทำตัวไม่ถูก
แบคฮยอนยังอยู่ตรงนี้ .. มันไม่ได้ไปไหน
“คือ .. เข้า .. เข้าไปกินข้างในดีกว่าไหมวะ ตะ ..ตรงนี้กินลำบาก “
ผมพูด ย่อตัวลงไปหา รู้สึกปากเปิกสั่นจนพูดลิ้นพันกันไปหมด มองจานพลาสติกที่วางรวมๆกันอยู่ที่พื้น ไอ้เตี้ยเงยหน้ามองผมด้วยสีหน้าที่ค่อนข้างแปลกประหลาด คนตัวเล็กเบ้หน้าน้อยๆ พลางซิ้ดปากออกมา ริมฝีปากอิ่มนั้นบวมเจ่อและแดงช้ำเนื่องจากความเผ็ด มือน้อยยกขึ้นปัดเบาๆบริเวณริมฝีปาก ผมถอยผงะ ทำอะไรไม่ถูก
“เดี๋ยว .. ดะ เดี๋ยวกูไปหยิบน้ำให้ “
ว่าแล้วก็รีบวิ่งสี่คูณร้อยลากเสาน้ำเกลือเข้าไปหยิบน้ำขวดเล็กในห้อง ผมนั่งย่อค้างอยู่หน้าตู้เย็น สะบัดหน้าไล่ภาพนั้นออกไปจากหัว ท่าทางเมื่อกี้ของไอ้เตี้ยทำเอาผมเบลอไปชั่วขณะ ความปวดหนึบบริเวณขมับหายไปเป็นปลิดทิ้ง
“อะ ..“
ผมรีบเดินถือขวดน้ำออกมา เปิดฝาให้เสร็จสรรพแล้วยื่นขวดส่งไปให้คนตัวเล็ก ก่อนจะนั่งยองๆลงข้างๆ แบคฮยอนรับขวดน้ำเย็นไปพลางกระดกดื่มอย่างรีบร้อนจนมันกระเฉาะไหลออกมาตามลำคอขาว สงสัยจะเผ็ดมากจริงๆ ผมกลืนน้ำลายตาม
“อะ .. ไอเหี้ย แดกยังไงให้เลอะวะ เปียกหมดละ “
ทันทีที่มันดื่มน้ำจนหมด ดวงตากลมคู่นั้นจ้องกลับมาอีกครั้ง ทำเอาผมทำตัวไม่ถูก รีบคว้าลำคอมันมาใกล้ๆ หยัดตัวขึ้นเอาชายเสื้อผู้ป่วยเช็ดให้เบาๆ ถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ไม่ต้องเผชิญกับใบหน้าน่ารักนั่นตรงๆ
.
“หายโกรธกูแล้วใช่ปะ “
ผมที่กำลังนอนคว่ำอยู่กับหมอนเอ่ยถามอีกคนที่ยืนนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียวอยู่ตรงหน้าตู้เสื้อผ้า แบคฮยอนพยักหน้า
“เออเสื้ออะ เอาในตู้ก็ได้ของกูยังพอมีอะ ว่าแต่มึงทำไมใส่ชุดนักเรียนมาวะ “
ผมลุกขึ้นนั่ง หย่อนเท้าลงจากเตียงแล้วเอ่ยถาม
“ไปทำงานที่โรงเรียนให้หมามา”
“อ่อ”
มันตอบ หยิบเสื้อในตู้มาใส่ ผมพยักหน้าน้อยๆเป็นเชิงว่ารับรู้ เกาหัวแกรกๆด้วยความไม่เข้าใจแต่ก็ไม่กล้าถามอะไรออกไปเพราะมันอาจจะยังอารมณ์ไม่ดีอยู่ ทำงานอะไร แล้วหมาไหนวะ ..
“นอนได้ละมึงอะ แล้วแดกยายัง “
มันถาม ปิดประตูเสื้อผ้าลงแล้วเอาผ้าเช็ดตัวไปตากตรงระเบียง ผมมองตามคนตัวเล็กที่ถูกปกคลุมด้วยเสื้อแขนยาวสีขาวลายขวางตัวโคร่ง ดูเหมือนว่ามันจะตัวเล็กกว่าผมเกือบเท่าตัว เพราะไหล่เสื้อมันตกลงไปทั้งสองข้างจนแทบจะหลุด แถมแขนเสื้อก็ยาวเลยมือออกมาตั้งเยอะ ผมหลุดขำ แบคฮยอนตอนนี้เหมือนเด็กประถมไม่มีผิด มือเล็กภายใต้แขนเสื้อยกขึ้นยีผมที่เดิมยุ่งอยู่แล้วให้ชี้ฟูยิ่งขึ้นไปอีก ริมฝีปากเล็กเปิดกว้าง หาวออกมาจนเห็นไปยันลิ้นปี่
“กูปิดไฟนะ ฝันดีมึง “
“อืม ฝันดี “
มันบอกเท่านั้น ก่อนไฟในห้องจะดับลง ห้องทั้งห้องมืดสนิท ผมนอนตะแคง หลับตาลงช้าๆ ได้ยินเสียงยวบของโซฟาที่ตั้งอยู่ไม่ห่างจากเตียงของผมเท่าไรนัก ยิ้มออกมาเบาๆ บอกฝันดีอีกรอบให้กับตัวเอง
50%
ผมนอนพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียงแคบๆ หยิบไอโฟนขึ้นมาดูเวลา นี่ผมเพิ่งจะนอนไปได้แค่ครึ่งชั่วโมง แต่ทำไมเหมือนมันนานมากก็ไม่รู้ ผมไม่เคยจะนอนหลับสบายเลยตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่ เตียงแม่งแข็ง แคบก็แคบ อยากกลับบ้านจะตายห่าอยู่ละ
“แบค “
ผมเอ่ยเรียกเพื่อนสนิทที่นอนอยู่ตรงโซฟามุมห้องในความมืด คำตอบที่ได้กลับมามีเพียงเสียงแอร์เบาๆเพียงเท่านั้น ผมนอนหงาย เงยหน้าขึ้นมองเพดานแม้จะไม่เห็น ผมกลอกตาไปมาในความมืด
“แบค .. “
“อือ “
ผมเรียกดังขึ้นอีกหน่อย ผงกหัวขึ้นเอาแสงจากหน้าจอไอโฟนส่องไปที่คนที่นอนตะแคงอยู่ตรงมุมห้อง เห็นแบคฮยอนนอนกอดอกอยู่บนโซฟาลางๆ หรือมันอาจจะหนาว มันไม่มีผ้าห่มสักผืนเลย แถมมันยังขี้หนาวด้วยนี่หว่า
“หลับยังวะ”
“อือ “
มันตอบ แต่เหมือนมันจะไม่ได้ฟังที่ผมพูดสักเท่าไหร่ เสียงครางอือเบาๆตอบกลับมาก่อนจะเงียบไปอีก มันจะหนาวรึเปล่า
“แบค .. “ ผมลุกขึ้นนั่ง เปิดแอพไฟฉายส่องไปที่มัน
“อือออ “
“หลับแล้วอ่อวะ “
“อือ “
ผมหรี่ตามองในความมืด แบคฮยอนยังคงนอนอยู่ท่าเดิม ดวงตาหลับพริ้มเหมือนใกล้จะหลับลึกเต็มที เอ่าห่าอย่าทิ้งกู กูนอนไม่หลับอะมึงก็ต้องห้ามหลับดิวะ
“กูนอนไม่หลับอะ “
“...”
ผมพูด รอให้มันตอบกลับมา แต่มันไม่ตอบ ใจจริงอยากจะลุกไปหาแม่งมากแล้วจับหัวเขย่าๆให้มันตื่นมานั่งคุยกับผมเหลือเกิน แต่ติดอยู่ที่ว่ากลัวผี ไม่งั้นกูลุกไปละ ไม่มานั่งให้ตะคริวแดกตูดอยู่อย่างงี้หรอก โด่
“แบค ! “
“ราย “ แบคฮยอนตอบ เสียงยานคางติดรำคาญหน่อยๆ
“กูกลัวผีอะ มานอนใกล้ๆได้ปะวะ”
ผมบอก กวาดตามองไปรอบๆห้องอย่างหวาดระแวง ก่อนจะก้มหน้าลง ไม่กล้ามองไรมาก กลัวไปป๊ะกับอะไรเข้า ถามว่ามึงกลัวอยู่นั่นอะเคยเห็นผีหรือไง ขอตอบเลยว่าเคยครับ เห็นจะๆอยู่หน้าบ้านตอนเช้ามืด ในระหว่างที่ผมจะเดินออกไปซื้อโจ๊กที่ปากซอยให้แม่ เจอจะๆเลยที่แปลงดอกไม้ตรงรั้วบ้าน บินอยู่ห่างจากผมไม่ถึงเมตร แต่ผีอันนี้ไม่ค่อยน่ากลัวเท่าไหร่ครับ เพราะแถวบ้านมันเรียกผีเสื้อ ก๊าก
“มึงอย่างี่เง่าได้ปะวะ นอนๆไปไอสัด ดึกแล้ว “
มันตอบ พลิกตัวตะแคงข้างหันหนีผม
“แบค กูกลัวจริงๆนะเว้ย กูนอนไม่หลับ “
“....”
“เหี้ยแบค “
“ไรอีกวะ “
เหมือนว่าผมจะรบกวนการนอนของมันมากเกินไป วิญญาณแรดตกมันอย่างที่ไอ้ไคเรียกกลับมาสิงร่างไอ้แบคอีกครั้ง มันลุกขึ้นนั่งแล้วทึ้งหัวตัวเองด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะเดินตรงปรี่มาที่เตียงของผม
“กะ .. “
“เขยิบไปไอสัด “
ผมที่กำลังนั่งงงเป็นควายเอ๋ออยู่นั้นอ้าปากค้างจนแมลงวันเข้าไปสร้างอาณาจักรกันอย่างสนุกสนาน เมื่อแบคฮยอนปีนขึ้นมาบนที่นอนของผมพร้อมกับส่งฝ่าตีนมาถีบสีข้างของผมให้ถอยออกไป คนตัวเล็กนอนหนุนหมอนครึ่งนึงที่อยู่บนเตียงแล้วตะแคงหันหลังก่อนจะหลบไปอีกครั้ง ผมอึ้ง ก่อนจะอมยิ้มน้อยๆ วาดผ้าห่มคลุมร่างของผมกับมันเอาไว้แล้วนอนตะแคงกอดเอวเล็กไว้แน่นด้วยกลัวว่าจะตกเตียงแคบๆนี้ไปซะก่อน
.
.
.
“อะพวกหน้าตาไม่ดีหลบไป พระเอกมาแล้ว “
ผมเดินไปผ่ากลางวงที่ไอ้ไคกับไอ้ฮุนกำลังนั่งติวหนังสือกันอย่างบ้าคลั่งแล้วนั่งลงตรงกลาง เหวี่ยงกระเป๋าลงวางบนโต๊ะม้าหินพร้อมด้วยเครื่องดื่มวางไว้ข้างๆกัน วันนี้บรรยากาศในโรงเรียนครึกครื้นเป็นพิเศษเนื่องจากเป็นวันสอบมิดเทอมวันแรก ทุกคนต่างมาโรงเรียนแต่เช้าเพื่อติวหนังสือ (ที่ไม่เคยจะอ่านกันเลยตั้งแต่เปิดภาคเรียน )
“นี่อะไรวะ “ ไอ้ฮุนถามถึงเครื่องดื่มในมือ ผมกระดกหมดไปครึ่งขวดแล้วยัดใส่มือมัน
“เปปทีนไงสาส เอาไว้แดกแก้โง่ “
“มันแก้ได้จริงหรอวะ “
“อย่างไอ้ยอลนี่ แดกเป็นตุ่มก็ไม่หายโง่หรอก “
ผมหันไปค้อนขวับให้แบคฮยอนที่เดินมานั่งฝั่งตรงข้าม แอบมันหันไปแทคมือกับไอ้ไคพลางหัวเราะคิกคักสะใจ
“ขำห่าไรพ่อตายหรอมึงอะ เออใช่ดิ กูไม่เก่งเหมือนมึงนี่ “ ผลักหน้ามันไปทีนึงแล้วก้มหน้าก้มตารื้อชีทในกระเป๋าที่รกเป็นรังหมาออกมากองไว้บนโต๊ะ
“โหไอห่า ครึ่งเทอมมานี่ ชีทมันเยอะขนาดนั้นเลยอ่อวะ “
“ไอเหี้ยนี่มันซากอะไรวะเนี่ย “
“อื้อหืมมึงระวังแมลงสาบบินออกมาจากกระเป๋าแม่งนะ “
“มองห่าไร มันคือคลังความรู้โว้ย “ ผมพูดแก้ต่าง หันไปค้อนพวกมันทั้งสามก่อนจะรื้อชีทสังคมออกมาจากอิกองเน่านั่นมานั่งอ่านเงียบๆ
“อือหือ ไอเหี้ยยอล มึงแดกเข้าไปได้ไงวะ แม่งเหม็นชิบหายอะ “
ผมเงยหน้าขึ้นมา ซึ่งตอนนี้ผมค่อยๆเอาเหง้าหน้าถูไถไปกับกองชีทที่วางอยู่บนโต๊ะเผื่อว่าจะซึมซับห่าอะไรเข้าไปได้บ้าง แต่ก็เปล่า ปรือตามองไอ้ฮุนที่ถือขวดเปปทีนที่เหลืออยู่ครึ่งนึงของผม ก่อนจะขำออกมาเมื่อเห็นสีหน้าบอกบุญไม่รับของเพื่อนสนิท
“ไหนวะกูลองมั่ง “
พรวดดดดดดด
“อื้มห์หือ อีห่ากัมจงดำ .. “
ก่อนจะหลุดขำก๊ากแล้วตบตักตัวเองด้วยความสะใจ ความง่วงหายไปเป็นปลิดทิ้งเมื่อเห็นไอ้ไคพ่นเปปทีนที่แย่งมาจากมือใส่หน้าไอ้อิตุ้ดที่นั่งข้างๆ หันไปมองหน้าผู้ถูกกระทำแล้วยิ่งกลั้นขำไว้ไม่ไหว ไอ้ฮุนตอนนี้หน้านิ่งมากจนสัมผัสได้ถึงรังสีอำมหิตที่แผ่ออกมารอบกาย สองมือของมันกำแน่นพลางยื่นมือข้ามโต๊ะไปบีบคออิดำแล้วเขย่าไปมาอย่างบ้าคลั่ง ขำที่ไอ้ฮุนเรียกไอ้ไคชิบหาย นอกจากกัมจงจะแปลว่าดำแล้ว แม่งยังใส่คำว่าดำตบท้าย เลยกลายเป็นดำ x2 ชื่อแฟนตาซีสุด 55555 ผมหยิบขวดเปปทีนเจ้าปัญหามากระดกจนหมดขวดแล้วปิดฝาใส่กระเป๋าไว้ เดะเก็บไปขายจะได้ตัง เราก็จะรวยกันเสียแล้ว
“ไหน จำอะไรได้บ้าง ทวนให้กูฟังดิ “
หันไปเหล่มองไอ้เตี้ยที่เขยิบมานั่งข้างผม ไอ้ฮุนกับไอ้ไคพากันไปล้างหน้าที่ห้องน้ำแล้ว ผมกลืนน้ำลายอึกใหญ่ จะบอกว่าหนึ่งอาทิตย์ที่มันช่วยติวให้นี่จำห่าอะไรไม่ได้เลย แม่งพูดไรมาเข้าหูควายทะลุหูหมาหมดเลยครับ ไม่ได้เข้าหูปาร์คชานยอลเลยสักหู
“ก็ วีเท่ากับเอสส่วนที “
ผมตอบอ้อมแอ้มในลำคออย่างไม่มั่นใจเท่าไหร่นัก ไม่ได้มองหน้ามัน สมองกำลังประมวลผลเอาความรู้ทั้งหมดที่มีรื้อขึ้นมาเก็บไว้ในสมองสั่วๆของตัวเอง ถ้าทำได้ผมอยากกวาดเอาหนังโป๊ การ์ตูน ชื่อและเบอร์โทรสาวๆเอาไปเก็บไว้ที่ไหนสักที่แล้วเอาสูตรฟิสิกส์ที่พยายามเรียนมาเข้ามาใส่ไว้แทน
“ไอห่า สูตรนี้เรียนตั้งแต่มอหนึ่งละ เอาสูตรอื่น “
มันพูดกดดันผมอีกครั้ง ดวงตาเรียวเล็กจ้องกลับมาที่ผมอย่างจับผิด ผมลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่อย่างลำบากคอหอย สูตรอื่นห่าไรอะ สมองกูรับอยู่แค่สูตรนี้สูตรเดียวอะ แง อย่ามองกูแบบนั้นดิวะ
“ก็ .. สองทีกำลังดี ..“
“อืม ไรอีก ยังไม่จบ “ มันถาม มือเล็กยกขึ้นมาเท้าคางจ้องหน้าผม
“ห้าทีกำลังมันส์ ปะวะ..“
เพี้ยะ!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
“โอ้ย”
สั่น.. รู้สึกเหมือนหนังหัวกำลังลุกเป็นไฟ ฝ่ามืออรหันต์ที่แม่งง้างรอไว้ตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ตบลงมากลางกระหม่อมผมอย่างแรง เจ็บจนต้องเอามือไปกุมไว้พลางร้องโอดโอยอย่างน่าสงสาร ผมก้มหน้าลงกับโต๊ะหินอ่อนแล้วร้องดังลั่นด้วยความเจ็บปวด ไม่สนใจว่าคนรอบข้างจะมองเยอะขนาดไหน เพราะผมก้มหน้าอยู่ ผมไม่เห็น แง
“แม่งไม่เคยพ้นเรื่องกามๆอะ หัวมึงมีเหี้ยอะไรบ้างวะเนี่ย โอ้ยไอสัด “
“ก็กูจำไม่ได้อะ ทำไมมึงต้องใช้กำลังกับกูตลอดเลย ฮือ “
หรี่ตาเงยหน้ามองอีกคนที่ตอนนี้กำลังนั่งกุมขมับอยู่อย่างเอือมระอา ผมเบะปากใส่มันพลางทำหน้าตาที่คิดว่าน่าสงสารและน่าเอ็นดูที่สุดในโลก แต่ดูจากหน้าไอ้แบคแล้ว มันเหมือนอยากจะดูเอ็นผมมากกว่า คิดแล้วก็อยากจะถอดโชว์เหลือเกิน คนตัวเล็กถอนหายใจใส่ ก่อนจะหันไปรื้อกระดาษกับปากกาในกระเป๋าใบแฟ่บของมัน เวลาเรียนนี่กระเป๋าหนัก แต่พอเวลาสอบกลับไม่เอาอะไรมาเลย ต่างกับผม เวลาเรียนไม่เอาห่าอะไรไปเลย เวลาสอบนี่เหมือนแบกเฟอร์นิเจอร์ที่บ้านมาด้วย กะมาอ่านเอาวันสอบ คนอะไร นอกจากจะหล่อแล้วยังรอบคอบอีกด้วย แหม่
“อะ มึงดู เดี๋ยวกูเขียนอธิบายให้ใหม่หมด ไม่เข้าใจตรงไหนถามกู “
“อือ “
ผมพยักหน้าเบาๆ ไม่อยากจะกวนตีนอะไรมันมาก ผมต้องเก็บแรงไว้อีกเยอะเพื่อใช้ไฝว้กับข้อสอบอีกหกวิชาตลอดวันนี้
แค่คิดกูก็อยากตายละ ฮ่อก!
.
.
“ห่า ข้อเขียนนี่กูทำไม่ได้สักข้อ “
เดินฟังไอ้ไคบ่นกระปอดกระแปดมาตลอดทางตั้งแต่เดินลงตึกมายันโรงอาหาร ในเดอะแก๊งค์ของเรานี่นอกจากผมที่มีความสามารถในการหลบหลีกข้อถูกระดับปรมาจารย์แล้ว ยังมีไอ้ไคอีกคนที่สมองต่ำเตี้ยเรี่ยดินพอๆกัน แต่ทิ้งแม้ว่ามันจะฉลาดกว่านิดนึงผมก็ไม่หวั่น เพราะของแบบนี้เค้าวัดกันที่หน้าตาและสีผิว ดังนั้นคนที่ขาวและหน้าตาดีอย่างผมจึงไม่หวั่นใจเท่าไหร่นัก
“ตกแน่ไอเหี้ย” ไอ้ไคทิ้งตัวลงนั่งอย่างแรงบนเก้าอี้ ก่อนจะตบโต๊ะแรงๆเรียกให้ผมที่อมยิ้มอยู่คนเดียวตลอดตั้งแต่ออกจากห้องสอบมาต้องหลุดจากภวังค์
“มึงทำได้หรอวะ เห็นยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่นานละ แถมออกจากห้องสอบคนแรกเลยอะ ไอ้แบคมันติวดีหรอวะ รู้งี้กูให้แม่งติวให้มั่งดีกว่า “
ไอ้ไคพูด มองตามตูดไอ้แบคกับไอ้ฮุนที่เดินปลีกตัวไปซื้อข้าวกันสองนาง ทิ้งให้ผมและไอ้ไคนั่งเฝ้าโต๊ะประจำของเรา มันไม่ได้หรอกครับถ้าจะต้องเสียเอกราชให้กับบรรดานักเรียนคนอื่นๆ ต้องเป็นโต๊ะนี้เท่านั้น ถ้าวันไหนไม่ได้นั่งกินข้าวที่โต๊ะประจำโต๊ะนี้แล้วล่ะก็ มันจะตายครับ ถิ่นของเรา ยังไงก็ต้องเป็นถิ่นของเราอยู่วันยังค่ำ
“อ่อ กูมีของดีอะ “
“ของดีไรวะ “ ไอ้ไคถาม ดูเหมือนมันจะสนใจเอามากๆเลยทีเดียว เหง้าหน้าดำๆของมันชะโงกข้ามโต๊ะมาถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น ผมหัวเราะ
“มึงอย่าบอกไอ้แบคมันละกัน “
“เออ อะไรวะ “
“อะ “
ผมอมยิ้ม หันกลับไปมองตูดงอนๆของเพื่อนทั้งสองที่ยืนต่อแถวซื้อข้าวอยู่ไกลๆแล้วค่อยๆล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง หยิบ ‘ของดี’ ที่ว่าออกมาวางไว้บนโต๊ะ ไอ้ไคอึ้ง ผมยักคิ้วกวนๆให้มันไปทีนึง ไงละมึง ตรึ่งเลยอะดิ ของเขาดีจริง
“โหย ไอควาย มึงคิดว่ามึงกี่ขวบละวะ “
วืดดดดดด
และในขณะที่กำลังยกมือเท้าคางไว้กับโต๊ะกินข้าวก็ต้องลื่นพรืดลงไปแทบจะทันทีเพราะคำพูดของไอ้ไค ผมรีบหยิบลูกเต๋าศักดิ์สิทธิ์ที่ผ่านการปลุกเสกอย่างดีเก็บใส่กระเป๋ากางเกงไว้แล้วมองค้อนมันอย่างงอนๆ เห็นเงียบไปกูก็นึกว่าจะอึ้ง ไอสัดที่ไหนได้ เสือกมาด่ากูซะงั้น
“กี่ขวบอะไรมึง นี่กูจิ๊กวงไฮโลแถวบ้านมาเลยนะไอสัด ไม่ธรรมดา “
“ไอเหี้ยกูก็นึกว่าของดีหลวงพ่อวัดไหน ที่แท้ ลูกเต๋ากากๆ “
“เออไอสัด ถ้ากูสอบผ่านอย่ามาง้อให้กูช่วยละกัน “
เถียงกับไอ้ดำได้ไม่นานเท่าไรนัก จานข้าวร้อนๆหอมฉุยทั้งสี่จานก็ถูกวางลงบนโต๊ะ ไอ้เตี้ยนั่งลงข้างๆผมก่อนจะเลื่อนจานผัดผักมาไว้ตรงหน้า ผมมองหน้ามัน อ่อนี่ตั้งใจจะกวนตีนกูอีกใช่ไหม
“มึงซื้อเหี้ยไรมาอะกูบอกกูไม่กินผัก”
“แล้วมึงอยากแดกไรทำไมไม่ไปซื้อวะ กูซื้อมาให้มึงก็บุญแล้วปะ “
“เออ กูไปซื้อเองก็ด้ะ แค่นี้ต้องขึ้นเสียง แหม่ กำลังท้องกำลังไส้ทำไมต้องใช้อารมณ์ด้วยก็ไม่รู้ “
ผมรีบลุกพรวดออกมาจากที่นั่งเสียก่อนที่จะโดนประเคนตีนจากนักกีฬาฮับคิโดสายดำมือฉมัง ก่อนจะเดินล้วงกระเป๋าชิวๆไปซื้อข้าว มันไม่ได้หรอกครับที่จะให้คนอย่างผมกินผัก ต่อให้ผู้หญิงมาแก้ผ้าตรงหน้านี่ก็ไม่ยอมเลยจริงๆ เพราะผมไม่ชอบ ดังนั้นก็ไม่มีไรมาบังคับได้นะครับเข้าใจทั่วกัน
“เฮ้ย ไอ้ยอล “
และระหว่างที่ยืนต่อแถวซื้อข้าวอยู่นั่นเอง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาจากกลุ่มคนที่กำลังยืนโหวกเหวกกันอยู่หน้าร้านน้ำ ผมหันไปมอง ไอ้เหี้ยคริส เพื่อนสมัยประถมนั่นเองที่เป็นคนเรียกผม น่าแปลกที่วันนี้มันไม่ได้อยู่กับพวกไอ้เฉิน ไม่อย่างนั้นผมคงต้องโกยแน่บใส่เกียร์หมาออกไปจากตรงนี้แล้วแน่ๆ มันเดินถือแก้วน้ำเข้ามาทางนี้ ผมเลิกคิ้ว ร้อยวันพันปีไม่เคยคุยกัน วันนี้จะมารู้จักอะไร
“อะฝากให้เพื่อนมึงหน่อย “ มันพูด ยื่นแก้วน้ำส้มแก้วโตมาให้ ผมปรายตามองแก้วนั้นก่อนจะยืนกอดอกพิงราวเหล็กมองหน้ามันอย่างกวนบาทา
“แหม่ ใจดีจัง จะให้เพื่อนคนไหนล่ะ “ ผมเอ่ย แบะปากน้อยๆเป็นเชิงล้อ แต่ก็ยังไม่ยอมรับแก้วนั้นมา
“มึงอย่าพูดเหมือนมีคนคบมึงเยอะนักดิ อะถือ กูให้แบคฮยอน “ มันพูดเท่านั้นก่อนจะยัดแก้วน้ำส้มใส่มือผมแล้วเดินหนีไป ทิ้งให้ผมงงอยู่กับประโยคแรก
มึงอย่าพูดเหมือนมีคนคบมึงเยอะนักดิ ..
คืออะไรวะ ?
ผมมองตามหลังมันอย่างงงๆ สมองผมอาจจะไม่ค่อยแล่นเท่าไหร่เนื่องด้วยวันนี้มันสูญเสียพลังงานไปกับการสอบเสียหมดแล้ว นี่ขนาดแค่ครึ่งวันผมยังเบลอได้ขนาดนี้เลยคิดดู ผมยกแก้วน้ำส้มขึ้นมาดูดก่อนจะหันไปสั่งข้าวกับป้าร้านขายข้าวร้านประจำ
“ช้าสัส พวกกูแดกกันจะหมดอยู่ละ “
“โทษๆ เจอเพื่อนเก่าอะ “ ผมตอบ สอดขาเข้าเก้าอี้ที่เชื่อมติดกับโต๊ะแล้ววางจานข้าวและแก้วน้ำส้มลงข้างๆกัน
“มึงเคยมีเพื่อนด้วยหรอวะ “ ไอ้ฮุนถาม ผมมองหน้า
“เอ้าไอสัส ทำไมปากนกกระจอกเทศแบบนี้ “
“ไหน “
โอ้ยไอโง่ ผมถอนหายใจก่อนจะเหลือกตาขึ้นไปข้างบน หลังจากที่ผมด่าไอ้ฮุนว่าปากนกกระจอกเทศไป แทนทีมันจะเข้าใจ ไอ้เหี้ยไคเสือกจับหน้าไอ้ฮุนให้หันไปสำรวจดูที่ปากมันเสียอย่างนั้น พวกมึงนี่เคยเข้าใจอะไรกันบ้างปะเนี่ย ควาย
“เดี๋ยวนี้มึงผันตัวมาเป็นนางเอกแดกน้ำส้มแล้วอ่อวะ “ ไอ้แบคถามพลางหันไปดูซากแก้วน้ำส้มแก้วใหญ่ที่ถูกดูดจนหมดเหลือแค่ก้นแก้ว ผมตักข้าวคำใหญ่ใส่ปากแล้วหันไปพูดกะมัน
“อ่อ ไอคริสฝากให้กูเอามาให้มึงอะ”
“เอ่า แล้วมึงกินของกูทำไมไอสัด ไหนบอกว่าไม่ชอบแดกน้ำส้มไง “
“ก็ตอนนี้ชอบละ “ ผมตอบ ยังคงก้มหน้าลงอยู่กับจานข้าว อร่อยจัง อยากจะซัดทั้งกะละมัง
“...”
“อะไร มองหน้ากูทำไม มึงจะกินปะละเดี๋ยวกูไปซื้อให้ใหม่ “
หลังจากที่เงยหน้าขึ้นจากจานข้าว หันไปมองไอ้เตี้ยที่กำลังจ้องผมอย่างจับผิด คิ้วเรียวที่ขมวดมุ่นใส่ผมนั้นไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกผิด กลับกัน ผมทำตัวไม่ถูกกับสายตาที่มันมองผมมากกว่า
“ไม่อะ “
“ละมึงมองกูทำไม หรือพริกติดฟัน ..พริกติดฟันหรอวะ “
ผมถาม ก่อนจะยีฟันแล้วอ้าปากให้กว้างที่สุดให้มันดูเหมือนที่ทำประจำ อีกนิดเดียวผมจะอมหัวมันได้ทั้งหัวอยู่ละ
แน่ะไอสัด หัวศรีษะก็พอ มึงอย่าคิดลึก กูรู้ว่าพวกมึงรอเอ็นซีอยู่ใช่ปะละ
“ไปๆไอเหี้ยอย่ามาเลิ้บซงเลิ้บซีนอะไรกันแถวนี้เดี๋ยวกูตบขี้ฟันกระจาย กูยังไม่ได้อ่านวิชาต่อไปที่จะสอบเลย “
ไอ้ไคพูดก่อนจะยกมือขึ้นมาโบกแถวๆหน้าผม พวกแม่งยกจานข้าวหนีกันหมดเลย ทำให้ผมที่ยังกินไม่เสร็จต้องรีบยัดข้าวที่เหลือเข้าปากแล้วถือจานวิ่งตามไป จะรีบทำไมวะ กลัวเกรดสี่หนีหรอไอสัด วิ่งให้ตายก็ตามไม่ทันหรอก ไม่ติด ร ก็บุญละพวกมึงอะ
.
.
“แกร๊ง”
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเสียงอะไรที่ดังกวนใจในห้องสอบ เสียงลูกเต๋าศักดิ์สิทธิ์ผมเองอะ ผมโยนมันให้กลิ้งไปมาแล้วชะโงกดูเลขบนหน้าลูกเต๋า จากนั้นก็ค่อยๆฝนตามช้อยส์ลงไปบนกระดาษ มันเป็นวิธีที่ช่วยทำให้ผ่อนคลายขึ้นมากจริงๆ บางทีที่ผมสอบตกบ่อยๆอาจจะเป็นเพราะเดามั่วก็ได้ แต่คราวนี้มีลูกเต๋าละ รับรองว่าได้เกินครึ่งแน่ๆครับ
ผมถอนหายใจแล้วฝนข้อสอบไปเรื่อยๆข้อแล้วข้อเล่า นึกรำคาญเสียงสวดมนต์ที่ดังมาจากข้างโรงเรียน อาใช่ครับ ข้างโรงเรียนของผมนี่เป็นวัดดีๆนี่เอง แล้วไอห่าไม่รู้ทำไมต้องมาสวดวันนี้ให้มันกวนสมาธิคนที่นั่งสอบด้วย ร้อยวันพันปีนี่มึงไม่สวด เหมือนทั้งฆราวาสพร้อมใจกันมาสวดมนต์ให้ผมราวกับรู้ชะตากรรมของผมล่วงหน้า แหม่ ใจบุญกันทั้งวัด
“เลขที่21 ทำอะไรน่ะ! “
“เปล่าครับ”
ผมตอบ ก่อนจะรีบหยิบลูกเต๋าบนโต๊ะเก็บใส่กระเป๋ากางเกงไว้ มองตามอาจารย์ผู้คุมสอบที่เดินตรงปรี่เข้ามาหาผมอย่างรวดเร็ว ผมนั่งหลังตรง เงยหน้ามองอาจารย์ที่ตอนนี้ยืนอยู่ตรงหน้าโต๊ะผมเรียบร้อยแล้ว
“เฮ้ยจารย์ งี้ได้ไงอะ “ ผมร้องลั่น เมื่อจู่ๆปากกาเมจิกสีแดงที่อาจารย์หยิบติดมือมาแต่แรกนั้นถูกใช้กากบาทลงบนหัวข้อสอบของผม ผมลุกขึ้นยืน นี่ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ
“ทุจริตนะคุณปาร์ค คุณหมดสิทธิ์สอบวิชานี้ “
“ฮะ..เฮ้ย อะไรวะ “
และยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไรเลยสักคำ อาจารย์แกเดินออกนอกห้องไปแล้ว เกิดเสียงเซ็งแซ่ดังไปทั่วห้องสอบ ผมได้แต่ยืนกำปากกาไว้แน่น สมองหยุดประมวลผลชั่วคราว หันไปสบตากับไอ้ไคที่ส่งสีหน้าแปลกๆมาให้ผม
“คุณปาร์ค ตามผมมา “
ก่อนที่ทั้งห้องจะเงียบกริบอีกครั้ง ทุกคนหันไปให้ความสนใจกับข้อสอบของตัวเอง อาจารย์ผู้คุมสอบคนเดิมกลับมาพร้อมกับอาจารย์ประจำวิชา ผมกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ก่อนจะวางปากกาแล้วเดินตามอาจารย์คนนั้นไป
ซวยอีกละกู ห่าเอ้ย
____________________________
ครบ100ละนะครับ งืมๆ อิอิ กำขี้ กำตด
ไม่มีไรจะทอล์ก ตอนแรกกะจะอัพเที่ยงคืน
ละคนน่ารักแถวนี้แม่งเสือกทวิตผีมา กลัวครับ
จึงต้องรีบปิดคอมก่อง ไปละบ้าย รักนะเด้าๆ
ปล.เม้นกันมั่งนะมึงอะ รออ่านฟรีอย่างเดียวไม่เอานะ เดี๋ยวพ่อเย่อให้ครางไม่ออก
ตลก555555 ซวยกว่าเดิมอีก
ตอบลบ